หัวข้อ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Talk:ไข้น้ำนม4




Talk: ไข้น้ำนมในกระต่าย 4 (หลักการ ตอนจบ)








            จริงๆแล้วบทความทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากรายงานการวิจัยอันนี้ครับ หลังจากที่เพื่อผมถามพอเจองานวิจัยอันนี้ผมก็สบายใจเลยครับ งานวิจัยคือการทดลองในจำนวนสัตว์ที่มีการคิดวิเคราะห์อย่างดีแล้วว่าเป็นตัวแทนของประชากรในชีวิตจริงได้ แต่อย่างไรก็ตามนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง แล้วประสบผลสำเร็จย่อมดีกว่าผลสำเร็จทางการทดลอง เนื่องจากการทดลองก็ทำเพื่อให้สามารถใช้ได้ในชีวิตจริงนั่นเอง
                จากการทดลองของ Barlet (1980) ได้ทดลองเปรียบเทียบกระต่ายปริมาณของ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ในเลือดกระต่าย ระหว่างกระต่ายปกติกับกระต่ายท้องจนให้นม (รูปที่ 1) แกนนอนคือระยะเวลาของกระต่าย เลข 20 จากด้าน ซ้ายคือ ก่อนคลอด 20 วัน เลข 0 คือวันที่คลอด ส่วนเลข 20 ด้านขวาคือ วันที่ 20 หลังคลอดซึ่งอยู่ในช่วงให้นมลูก แกนตั้งคือความเข้มข้นของสารในเลือด โดยจากด้านบนสู่ด้านล่างคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม ตามลำดับ โดยสีเขียวเป็นกลุ่มควบคุมคือ กระต่ายไม่ได้ท้องสุขภาพดี ส่วนสีแดงคือกลุ่มกระต่ายที่ท้อง คลอดลูก และให้นม ถ้าพบดอกจันหมายความว่ามีความแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง กลุ่มควบคุม และกลุ่มกระต่ายที่ท้อง ดอกจันสองดอก (P<0.01) แสดงว่ามีความแตกต่างมากกว่าดอกจัน 1 ดอก (P<0.05) ถ้าไม่พบดอกจันแสดงว่าไม่แตกต่างกัน โดยวิธีการดูว่าแตกต่างกันหรือไม่ใช้วิธีทดสอบทางสถิติ เมื่อนักวิจัยทดลองสิ่งต่างๆเช่น กินอาหาร A กับ อาหาร B อันไหนดีกว่า สมมติสุนัข 10 ตัวกิน A มากกว่า B อยู่ 6 ตัว ถ้าเอาไปถามคนซัก 10 คน ก็บอกคงบอกไม่เหมือนกันว่าอันไหนดีกว่า อาจจะตัวอย่างน้อยไปหรืออะไรก็ตาม ดังนั้นจึงสร้างสถิติขึ้นมาทดสอบเหมือนวิธีตรวจสอบมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับ ทำให้สามารถบอกได้ว่าผลการทดลองที่ได้นั้นเหมือนหรือต่างกันนั่นเอง


รูปที่ 1 แสดงระดับแคลเซียม (บนสุด) ฟอสฟอรัส (กลาง) และ แมกนีเซียม (ล่างสุด)  ที่แตกต่างระหว่างกระต่ายปกติ (สีเขียว) และการต่ายอุ้มท้องและให้นม (สีแดง) ในช่วงการผลิตที่แตกต่างกัน

                จากผลการทดลองเห็นชัดว่า ระดับของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในเลือดในช่วง ก่อนคลอด คลอด หลังคลอด ไปถึงช่วงอย่านม กระต่ายได้สูญเสียระดับแคลเซียมลงไปมากเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แล้วกว่าจะกลับมาก็ใช้เวลานานเกือบ 70 วันหลังคลอด พบว่าถ้าระดับแคลเซียมอยู่ในช่วง 10-11 mg/dl กระต่ายจะไม่แสดงอาการและสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้ แต่ถ้ากระต่ายมีปริมาณเลือดต่ำเกินไปก็ทำให้มีอาการและเสียชีวิตได้ ดังนั้นการรักษาได้มาจากการทดลองในรูปที่ 2 โดยเป็นการวัดระดับแคลเซียมหลังการฉีดแคลเซียม 0.6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมเข้าสู่ช่องท้องกระต่าย โดยกระต่ายที่มีอาการทางคลินิกและมีระดับแคลเซียมต่ำมาก จากการช่วยเหลือดังกล่าวสามารถทำให้ระดับแคลเซียมอยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ที่ประมาณ 11 mg/dl ก็เป็นที่มาของคำแนะนำข้างต้นนะครับ 
รูปที่่ 2 ระดับแคลเซียม (สีเขียว) และฟอสฟอรัส (สีน้ำเงิน) หลังจากการฉีดแคลเซียม 0.6 mg/kg เข้าช่องท้องกระต่าย

น.สพ.อรรถวิทย์ โกวิทวที
(นิสิตปริญญาเอกสาขาการเพาะพันธุ์กระต่าย มหาวิทยาลัยตูริน ประเทศอิตาลี)

____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด 


Talk:การจัดการฟาร์ม5



Talk: การจัดการฟาร์ม 5 ตอนจบ (ตัวอย่าง ตอนที่2)



                

                เราจะวิเคราะห์ต่อกันครับ จากตอนก่อนเรามาดูอีกฝั่งนึงคือ จำนวนคอก/แม่/ปี ซึ่งควรได้ประมาณ 4-5 คอกต่อปี แต่กลับได้เพียง 1.6 สิ่งที่ผมจะไปตรวจในขนาดฝูงแม่ คือ ลำดับท้องของแม่ และการทดแทน เพราะบางทีช่วงปีนี้อาจมีการทดแทนแม่มากกว่าปกติทำให้แม่ท้องแรกมีปริมาณมากก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเลยคืออัตราผสมติดที่คล้ายกับเหมือนว่า การผสมติด หรือไม่ติดนั้นสลับกับไปมาซึ่งเป็นค่าที่ไม่ดีอย่างมาก การผสมไม่ติดนั้นเกีดมาจากสามทางคือ พ่อ แม่ และวิธีการ จากข้อมูลดังกล่าวผมจะไปสืบดูว่าผสมอย่างไรถูกต้องหรือไม่ ตามสายพ่อแต่ละตัวไปว่าประสิทธิภาพมีพ่อตัวไหนถ่วงอยู่หรือเปล่า และสุดท้ายค่อยดูแม่ว่า แม่กลุ่มที่มีปัญหาเป็นแม่กลุ่มไหนกันแน่
                โดยการวิเคราะห์ผมมักจะนำช่วงเวลามาวิเคราะห์ด้วย เพื่อทราบว่ามีช่วงเวลาไหนที่ส่งผลกระทบต่อการวิเคราะห์แบบรายปีหรือไม่ซึ่งผมลองดูในส่วนของจำนวนครั้งที่มีการผสมติดและคลอดลูก ต่อเดือนนำมาเป็นกราฟได้ดังกราฟที่ 1

กราฟที่ 1 แสดงจำนวนการคอกรวมในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน

                จากการดูกราฟทุกคนคงเห็นว่ามันต้องมีปัญหาอะไรอย่างแน่นอนในช่วงกลางปี ซึ่งคำตอบนั้นก็เป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์ประจำฟาร์ม และเจ้าของฟาร์มในการหาปัญหา และช่วยกันแก้ไขต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในปีต่อๆไป
               
                สำหรับการวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของฟาร์มต้องการตัดสินใจอะไร อย่างในฟาร์มนี้ผมขอยกตัวอย่างการคัดทิ้งแม่ผสมติดยากซ้ำซาก เนื่องจากฟาร์มนี้มีแม่เยอะแต่ไม่มีประสิทธิภาพ เลขอยากดูความสามารถแม่แต่ละตัวว่าแม่ตัวไหนให้ท้องปีละกีครั้ง ในภาพรวมของฟาร์มสามารถทำเป็นกราฟได้ดังกราฟที่ 2


                จากกราฟที่ 2 ชัดเจนว่าแม่ส่วนมากออกลูกต่อปีแค่คอกเดียว ดังนั้นเราต้องค้นหาปัญหา และแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด้วยว่าปัญหาอยู่ที่อะไรกันแน่ การที่ผสมไม่ติดซ้ำซาก ลองดูอีกตัวอย่างคือการดูศักยภาพพ่อพันธุ์ที่ผสมติดว่าตัวไหนดี ตัวไหนควรคัดทิ้ง เราสามารถนำมาสร้างกราฟได้ดังกราฟที่ 3


                จากกราฟเราก็สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเก็บหรือปลดพ่อตัวไหนออกจากฝูง จากตัวอย่างข้างต้นคณะผู้วิจัยหวังว่าเจ้าของฟาร์มจะมองเห็นประโยชน์ของการเก็บข้อมูลในฟาร์มมากขึ้น และความสามารถของการวิเคราะห์ดังกล่าวสามารถทำได้มากกว่านี้ โดยในขณะนี้อยากให้ใช้ข้อมูลพื้นฐานก่อน ถ้าเราสามารถใช้ได้ดีเราจะสามารถขยับไปใช้ข้อมูลในส่วนอื่นได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

บทส่งท้าย
ถ้าการเก็บข้อมูลครบถ้วนถูกต้องการวิเคราะห์เป็นเรื่องง่ายดายจนเจ้าของฟาร์มสามารถทำเองได้ และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที สิ่งที่ผมจะไปศึกษาต่อนั้นเป็น ทั้งด้านการจัดการ อาหาร โรค หรือพูดง่ายๆคือ เราจะทำฟาร์มกระต่าย 1000 แม่ ได้อย่างไร แต่เรื่องต่างๆก็เป็นเรื่องยาก และต้องใช้เวลา ร่วมทั้งความร่วมมืออันดีระหว่างเจ้าของฟาร์มกระต่าย โดยทุกครั้งที่ผมเก็บข้อมูลผมถือว่าเรามีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพื่อพัฒนาวงการกระต่ายในดำเนินไปข้างหน้าต่อไป
_______________________________________________________________________________________________________

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด

Talk: การทดลองในฟาร์มตนเอง


Talk:       การทดลองในฟาร์มด้วยตนเอง

                   Farm experiment by myself


                  หลังจากหายไปนาน เนื่องจากกำลังยุ่งกับการทำงานวิจัยที่มหาลัย สองสัปดาห์ก่อนผมได้เสร็จการทดลองในกระต่ายเรียบร้อย ทำให้ตอนนี้เหลือแต่งานในห้องทดลอง และการเขียนบทความทางวิชาการ ถ้าผมได้ผลการทดลองอย่างไรก็คงเอามาเผยแพร่ในบอร์ดนี้ก็แล้วกันนะครับ ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้รับเจอเหตุการณ์ในลักษณะดังต่อไปนี้หรือไม่ มีบริษัทมาที่ฟาร์มของท่านแล้วบอกว่าถ้าให้สารเร่งโตของบริษัทให้กระต่ายกินแล้วกระต่ายจะโตไว ตายน้อย ออกลูกดก หรือ มีอาหารสูตรใหม่ออกมา แล้วเพื่อนของท่านหรือคนรู้จักบอกว่าอาหารนี้มันดีกว่าอันก่อน ซึ่งเมื่อสืบสาวหาเหตุผลว่าทำไม บริษัท หรือผู้ที่แนะนำก็อาจจะตอบว่า ได้มีการทดลองพิสูจน์มาแล้วจากสถาบันวิจัยที่เชื่อถือได้ หรือเขาได้ทดลองใช้แล้วมันดีจึงบอกต่อ คำถามที่น่าสนใจหลังจากการได้รับคำตอบในลักษณะนี้ก็คือ การทดลองคืออะไร” “มันจะมีความถูกต้องขนาดไหนและ ถ้าเรายอมเสียเงินเพิ่ม หรือเสี่ยงที่จะใช้สินค้าใหม่ ผลที่ได้มันจะคุ้มค่าหรือไม่ในบทความนี้ผมจะพยายามตอบคำถามเหล่านี้ รวมทั้งเสนอแนวทางการทดลองในฟาร์มของตัวเอง ในขณะนี้ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านมีคำถามในใจรึเปล่าว่า ทำไมเราต้องทดลองเองในฟาร์มด้วย ทั้งๆที่บริษัทก็ได้ทดลองมาให้แล้วว่ามีผลการทดลองเป็นอย่างไรคำถามนี้ก็จะได้ตอบในบทความนี้เช่นเดียวกันครับ
                การทดลอง (Experiment) คือ วิธีการยืนยัน องค์ความรู้ใหม่ว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร ซึ่งความรู้ดังกล่าวอาจจะมาจากการสังเกตุ ประสบการณ์ หรือความรู้พื้นฐานจากในอดีต เนื่องจากนักวิจัยจะเริ่มจากการศึกษาหาความรู้ในอดีตแล้วมาคิดวิเคราะห์ ประยุกต์ รวบรวมกับประสบการณ์ของนักวิจัย จากนั้นก็จะตั้งสมมติฐาน จากนั้นก็จะออกแบบการทดลองเพื่อยืนยันองค์ความรู้ใหม่ๆดังกล่าว ผมอาจยกตัวอย่างการทดลองง่ายๆให้เข้าใจดังเช่น มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งสังเกตว่าแม่กระต่ายที่อ้วนมักจะผสมไม่ค่อยติด ถึงจะผสมติดก็ให้ลูกน้อย แต่ในกระต่ายที่หุ่นดีไม่อ้วนไม่ผอมเกินไปกลับผสมติดได้ง่าย ให้ลูกต่อคอกเยอะ หลังจากนั้นนักวิจัยก็ไปอ่านหนังสือ และวารสารเพิ่มเติม แล้วพบว่าในสุกร และโค ได้มีการวิจัยมาแล้วว่าถ้าแม่อ้วนเกินไปย่อมส่งผลให้อัตราการผสมติด และจำนวนลูกต่อคอกลดลง ดังนั้นนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า ความอ้วนในแม่กระต่ายมีผลต่ออัตราการผสมติด และจำนวนลูกต่อคอกหรือไม่ จากนั้นก็ออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าว เห็นไหมครับ ว่าความรู้ดังกล่าวเป็นองค์ความรู้ใหม่ แต่ก็มีหลักฐานด้านความรู้ และการสังเกตมาประกอบ จากนั้นจึงทำการทดลองเพื่อพิสูจน์หลักการดังกล่าวว่าถูกต้องหรือไม่
                ทุกครั้งที่มีใครบอกอะไรแก่เรา เรามักคิดเสมอว่ามันถูกต้องหรือไม่ เชื่อถือได้แค่ไหน แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับการทดลองนั้นเอง ว่าผลการทดลองที่เราอ่านอยู่มันถูกต้องเชื่อถือได้ขนาดไหน ความน่าเชื่อถือเกิดมาจากสองอย่างคือ จรรยาบรรณนักวิจัย และการออกแบบการทดลอง สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากๆเลยคือ ข้อแรก (จรรยาบรรณนักวิจัย) เนื่องจากถ้านักวิจัยเล่นนั่งเทียนเขียนผลการทดลอง หรือดัดแปลงข้อมูลให้เกิดความบิดเบือน ผลการทดลองนับว่าไร้ค่าทั้งที การป้องกันตรงนี้ในฐานะผู้อ่านก็คือความเชื่อใจ เพราะเวลาผมอ่านวารสารตีพิมพ์ผมมักจะจำชื่อนักวิจัยที่เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ แล้วบางครั้งที่มีการสัมมนาวิชาการผมก็ได้โอกาสเข้าไปพูดคุยปรึกษาทำให้ทราบว่านักวิจัยกลุ่มดังกล่าวมีจรรยาบรรณที่ดีในการทดลอง อีกข้อคือการออกแบบการทดลองในส่วนนี้ผมจะไม่ได้กล่าวโดยละเอียด แต่ถ้านักวิจัยดำเนินการวางแผนการทดลองตามทฤษฎีแล้วย่อมไม่มีปัญหาในการเอนเอียง หรือการทดลองผิดพลาด เพราะนักวิจัยทุกคนย่อมต้องใช้ สถิติ ซึ่งเครื่องมือที่จะบอกว่าต้องใช้สัตว์ทดลองเท่าไหร่ เลือกอย่างไร แล้วยังบอกว่าผลการทดลองได้ผลหรือไม่ เนื่องจากการแปลผลด้วยคน คนละกลุ่ม อาจจะแปลผลไม่เหมือนกัน จึงมีการคิดวิธีการทางสถิติ เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน ดังเช่น มีกระต่ายอยู่ 2 ตัว ถามคน 10 คนว่ากระต่ายตัวไหนหนักกว่ากัน คำตอบที่ได้มาย่อมแตกต่างกันไปตามความสามารถหรือประสบการณ์ของแต่ละคน ดังนั้นถ้าเราใช้เครื่องชั่งน้ำหนักเราก็จะทราบอย่างแน่นอนว่ากระต่ายตัวไหนหนักกว่ากัน จากตัวอย่างนี้กระต่ายสองตัวเหมือนสัตว์ทดลองที่ให้อาหารต่างกัน แล้วอยากรู้ว่าอันไหนดีกว่า จากนักวิจัยหลายๆกลุ่มอาจบอกไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเราใช้เครื่องชั่งน้ำหนักซึ่งเปรียบเหมือนสถิติซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ทุกคนยอมรับ และมีความถูกต้อง ไม่ว่าทดลองที่ไหน กับใคร เมื่อเราอ่านผลเราก็เชื่อว่าเป็นจริงดังที่ได้กล่าวไว้
                การเปลี่ยนแปลงใดๆในฟาร์มย่อมถือว่าเป็น ความเสี่ยงดังเช่น การเปลี่ยนอาหารชนิดใหม่ทั้งฟาร์ม กระต่ายอาจจะมีอัตราการตายเพิ่มขึ้น หรือ กระต่ายอาจจะโตไวขึ้นก็ได้ ดังนั้น การควบคุมความเสี่ยง (Risk management) จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำการศึกษาและปฎิบัติ การทดลองก็เป็นทางหนึ่งของการควบคุมความเสี่ยง เนื่องจากเราไม่ได้ให้กระต่ายทั้งฟาร์มใช้อาหารใหม่ แต่เราทดลองในกลุ่มกระต่ายที่เล็กกว่าเปรียบเทียบกับกระต่ายในฟาร์มที่กินอาหารเดิม แล้วคิดวิเคราะห์ว่าผลการทดลองเป็นอย่างไร จากนั้นก็จะตอบคำถามได้ว่าจะรับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาใช้ในฟาร์มหรือไม่ จริงๆแล้วการทดลองอาจจะเป็นได้ทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องอาหารอย่างเดียว ซึ่งทุกครั้งที่ผมคุยกับเจ้าของฟาร์มกระต่าย ผมได้เห็นว่าทุกคนได้ทำการทดลองมาแล้วทั้งนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว ผมยกตัวอย่างง่ายๆเลย เมื่อกระต่ายคลอดลูกกี่วันถึงจะผสมรอบใหม่ ผมเชื่อว่าทุกฟาร์มถ้ามีพ่อแม่พันธุ์ย่อมต้องลองมาแล้ว เนื่องจากในต่างประเทศที่ผมศึกษาอยู่ เราสามารถผสมได้ตั้งแต่ 0, 7, 14 และ 21 วันหลังคลอด ซึ่งอัตราการผสมติด จำนวนลูกที่ได้มีการทดลองมามากมาย ซึ่งก็แน่นอนว่าประเทศไทยย่อมแตกต่างกัน ในจุดนี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมต้องทำการทดลองในฟาร์มของตัวเอง
                สำหรับคำถามสุดท้าย ทำไมต้องทำการทดลองในฟาร์มของตัวเองเนื่องจากการทดลองส่วนมากมักทำการศึกษาในต่างประเทศทำให้สภาพแวดล้อม อาหาร สายพันธุ์ การจัดการ หรือปัจจัยอื่นๆย่อมแตกต่างกันไป ซึ่งเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกับการทดลองผลจะแตกต่างหรือไม่ อย่างไรก็ตามการออกแบบการทดลองที่ดีย่อมมีหลักการที่จะควบคุมให้เหมือนกัน ต่างที่ ต่างเวลา ย่อมมีความเสี่ยงที่ผลการทดลองแตกต่างกันได้ ดังนั้นความแตกต่างระหว่างสิ่งแวดล้อมย่อมควบคุมได้จากการทดลองในฟาร์มของตนเอง แล้วยังเป็นการยืนยันมาใช้ได้จริงในฟาร์มของเราหรือไม่ ดังนั้นการออกแบบการทดลองต้องยึดกฎสามข้อคือ 1. สัตว์ทดลองต้องเริ่มต้นเหมือนกัน 2. จำนวนสัตว์ทดลองต้องมีมากเพียงพอ 3. ต้องควบคุมทุกอย่างให้เหมือนกันยกเว้น สิ่งที่ต้องการทดลองเพียงอย่างเดียว ถ้าท่านผู้อ่านต้องการทดลองสามารถบอกผ่าน blog นี้ได้ ผมจะพยายามตอบให้ครับ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีการเก็บข้อมูลของฟาร์มเป็นอย่างดี ก็สามารถนำมาให้ผมวิเคราะห์ได้ครับ
_____________________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Talk:ไข้น้ำนม3


Talk: ไข้น้ำนมในกระต่าย 3 (หลักการ)  




ฟอสฟอรัส ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก และการเผาผลาญพลังงาน ในกระต่ายเด็กจะสามารถดูดซึมฟอสฟอรัสได้ดีกว่าในกระต่ายโตเนื่องจากต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่า ฟอสฟอรัสที่ดูดซึมจากลำไส้เล็กส่วนต้น และส่วนกลาง
ฟอสฟอรัสในอาหารของกระต่ายจะอยู่ในรูปของ Phytate phosphorus ซึ่งเอนไซม์จากกระต่ายไม่สามารถย่อยฟอสฟอรัสออกมาใช้งานได้ แต่สามารถย่อยด้วย Phytase จากแบคธีเรียในซีกั่ม (Caecum) ได้ ซึ่งฟอสฟอรัสที่ย่อยแล้วจะออกมากับอุจจาระกลางคืนและจะถูกกระต่ายกินกลับเข้าไปเพื่อนำฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย นอกจากนี้ยังพบ Phytase ในข้าวสาลี ดังนั้นถ้าผสมข้าวสาลีในอาหาร กระต่ายก็สามารถนำฟอสฟอรัสได้ทันทีไม่ต้องรอการย่อยจากแบคธีเรีย
สัดส่วนของแคลเซียม และฟอสฟอรัสมีความสำคัญมากโดยสัดส่วนที่ดีที่สุดคือ แคลเซียม:ฟอสฟอรัส=2:1 การที่แคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มากหรือน้อยเกินไปจะส่งผลให้มีความผิดปกติต่อร่างกาย
แมกนีเซียมส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในกระดูกร้อยละ 70 ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยปฎิกิริยาต่างๆ (Cofactor) การขาดแมกนีเซียมส่งผลให้ การเจริญเติบโตที่ช้า ขนร่วง ขนไม่มันเงางาม และมีพฤติกรรมกินขนตัวเอง กระต่ายควรได้รับปริมาณแมกนีเซียมในช่วง 0.3-3 กรัมต่อกิโลกรัม โดยปกติมักให้ในขนาด 1.7 กรัมต่อกิโลกรัม แมกนีเซียมที่เกินความจำเป็นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ
ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (PTH) จะสามารถทำงานได้ต้องประกอบไปด้วยแมกนีเซียมและความเป็นกรดด่างที่พอเหมาะ (ดังรูปที่ 2) รูปซ้ายสุดหรือหมายเลขหนึ่ง เมื่อระดับความเป็นกรดด่างพอเหมาะและมีแมกนีเซียมมากเพียงพอสามารถทำให้ PTH สามารถทำงานได้ ในรูปกลางหรือหมายเลขสอง มีความเป็นกรดด่างเปลี่ยนไปส่งผลให้ตัวรับ (Receptor) มีการเปลี่ยนรูปไปเนื่องจากตัวรับคือโปรตีนที่เปลี่ยนแปลงตามความเป็นกรดด่างจึงไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากการทำงานของฮอร์โมนใช้ทฤษฎี Lock and key (ทฤษฏีแม่กุญแจ กับลูกกุญแจ) คือต้องมีรูปร่างที่สามารถเข้ากันได้อย่างพอดีถึงจะทำให้มีกลไกทำงานต่อไปได้ เปรียบเสมือนแม่กุญแจ กับลูกกุญแจ รูปทางขวาหรือรูปที่3 มีปริมาณของแมกนีเซียมในเลือดน้อยกว่าปกติ เนื่องจาก Adenyl cyclase complex (ตัวสีฟ้าด้านล่าง) ต้องการแมกนีเซียมมาเป็นตัวช่วย (Coenzyme) ในการทำงานต่อไป เมื่อแมกนีเซียมไม่เพียงพอก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้นั่นเอง
ปกติแมกนีเซียมสามารถพบในพืชอาหารสัตว์ แต่ในบางกรณีที่พืชดังกล่าวปลูกในดินที่มีแมกนีเซียมต่ำ ส่งผลให้พืชในพื้นที่ดังกล่าวเก็บแมกนีเซียมไว้ในปริมาณน้อยกว่าปกติ แล้วส่งผลให้สัตว์ที่กินพืชดังกล่าวได้รับแมกนีเซียมในระดับที่ไม่เพียงพอ

รูปที่ 2 แสดงการทำงานของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (PTH) ในสภาวะแตกต่างกัน

ในบทความต่อไปจะกล่าวถึงงานวิจัยว่ากระต่ายระดับแคลเซียมในระยะท้อง ให้นมลูก และภาวะปกติ มีความแตกต่างอย่างไร

________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด




Talk:ไข้น้ำนม2



Talk: ไข้น้ำนมในกระต่าย 2 (หลักการ)  



ในส่วนนี้ผมจะพูดถึงหลักการนะครับ ก่อนอื่นเราควรรู้จักกับแคลเซียมและแร่ธาตุที่มีความเกี่ยวโยงกับแคลเซียม ซึ่งก็คือ ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มากกว่าร้อยละ 98 สะสมอยู่ในกระดูกและฟันซึ่งในส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุน ซึ่งฟันกระต่ายยาวประมาณ 2 มิลลิเมตรต่อสัปดาห์จึงต้องการแคลเซียมเป็นอย่างมาก อีกร้อยละ 2 จะอยู่ในกระแสเลือดซึ่งทำหน้า ที่เกี่ยวกับ การทำงานของหัวใจ การหดตัวของกล้ามเนื้อ การแข็งตัวของเลือด รักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลท์ การทำงานของเซลล์ประสาท การทำงานของฮอร์โมน ทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง และเป็นส่วนประกอบในน้ำนม
กระต่ายเป็นสัตว์ที่มีปริมาณแคลเซียมในน้ำนมและในเลือดสูงกว่าสัตว์ชนิดอื่น (ตารางที่ 1) ซึ่งสาเหตุก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ โดยระดับแคลเซียมในน้ำนมจะสูงกว่าสัตว์อื่นประมาณ 2 เท่า ดังนั้นในกระต่ายให้นมลูกจึงเสียแคลเซียมจากร่างกายมาก ปริมาณอาหารที่ระดับแคลเซียมสูง จะส่งผลต่อระดับของแคลเซียมในกระแสเลือดโดยตรง

ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบระดับแร่ธาตุในน้ำนมของ โค แกะ สุกร และกระต่ายปกติ
แร่ธาตุ
โคนม
แกะ
สุกร
กระต่าย
โซเดียม
0.45
0.45
0.5
0.96
โพแทสเซียม
1.5
1.25
0.84
1.86
แคลเซียม
1.2
1.9
2.2
4.61
แมกนีเซียม
0.12
0.15
-
0.27
ฟอสฟอรัส
1.9
1.5
1.6
2.78
คลอไรด์
1.1
1.2
-
0.66
ดัดแปลงมาจาก Guegen et al., 1988; Partridge and Gill, 1993; El-Sayiad et al., 1994; Maertens et al., 2006

การดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เล็กสามารถผ่านทาง Acive vitamin D dependent transcellular transport ซึ่งต้องใช้พลังงานและวิตามินดีถึงจะทำงานได้ และอีกทางคือ Passive paracellular diffusion ที่ไม่ต้องใช้พลังงานหรือวิตามินดี โดยใช้ความแตกต่างของความเข้มข้นของแคลเซียมระหว่างในทางเดินอาหารกับในระบบเลือด ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นทางหลักในการดูดซึมแคลเซียมในกระต่าย การดูดซึมถูกขัดขวางจากอาหารที่มี Phytate (ดังเช่น ถั่ว ธัญพืช), Oxalate (ดังเช่น ผักขม อัลฟาฟ่า), Acetates เป็นส่วนประกอบเนื่องจากจะจับกับแคลเซียมทำให้ไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย พืชชนิดอื่นที่มีแคลเซียมสูงแต่มีออกซาเลตต่ำดังเช่น บล็อคโคลี่ เป็นต้น รวมทั้งยาเพนนิซิลลิน และคลอแรมฟีนิคอลก็สามารถจับกับแคลเซียมได้
กลไกการรักษาสมดุลของแคลเซียมในมีแคลเซียมอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณปกติมีความสำคัญเป็นอย่างมาก การรักษาสมดุลของแคลเซียมเป็นดังนี้ (รูปที่1) เมื่อร่างกายมีระดับแคลเซียมในเลือดลดลงจะมีการกระตุ้นให้ต่อมพาราไทรอยด์หลั่ง Parathyroid hormone (PTH) ออกมาจะกระตุ้นให้มีการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น และให้ไตดูดแคลเซียมกลับขับฟอสฟอรัสออกมากขึ้น โดยผลทั้งสองอย่างทำให้ระดับแคลเซียมในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นวิตามินดียังช่วยให้มีการดูดซึ่งแคลเซียมมากขึ้นโดยวิตามินดีมากจาก 7-dehydrocholesterol ที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังเมื่อโดนแสงแดดก็จะกลายเป็นวิตามินดีที่ยังใช้งานไม่ได้ และวิตามินดีที่ใช้งานไม่ได้ก็สามารถมาจากอาหารได้ จากนั้นจะถูกขนส่งสู่ตับโดยจะเปลี่ยนเป็น 25(OH)D ด้วยเอนไซม์ 25-hydroxylase จากนั้นไปยังไตเพื่อเปลี่ยนเป็น 1,25(OH)2D ด้วยเอนไซม์ 1-hydrosylase ซึ่งจะทำงานก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้นด้วย PTH สาร 1,25(OH)2D เป็นรูปทำงานของวิตามินดีซึ่งจะไปที่ลำไส้เล็กทำให้สามารถดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้น จากนั้นร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะสมดุล

รูปที่ 1 แสดงการรักษาสมดุลแคลเซียมเมื่อมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง

ในกรณีที่แคลเซียมในเลือดสูงขึ้นจะกระตุ้นให้ C-cell ของต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนแคลซิโนินซึ่งส่งผลให้มีการนำแคลเซียมไปเก็บในกระดูกมากขึ้น เพิ่มการขับแคลเซียมออกทางไต ลดการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร ซึ่งส่งผลให้ระดับแคลเซียมในกระแสเลือดลดลงจนกลับมาสู่สมดุล ทางหลักในการขับแคลเซียมออกจากร่างกายคือ ปัสสาวะ ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเรามักพบว่าปัสสาวะกระต่ายมีสีขาวขุ่น เป็นตะกอน และเมื่อกินอาหารที่มีระดับแคลเซียมสูงดังเช่น อัลฟาฟ่า แครอท เป็นต้น ปัสสาวะกระต่ายก็จะมีสีขาวขุ่นมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งถ้าระดับแคลเซียมมากเกินไปแคลเซียมจะถูกขับมาทางอุจจาระด้วย ระดับแคลเซียมในเลือดที่มากกว่า 40g/kgBW เป็นระยะเวลานานส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว (Urolithiasis) หรือ การสะสมแคลเซียมในเนื้อเยื่อ (Calcification of soft tissue) ดังนั้นระดับแคลเซียมที่เหมาะสมในกระต่ายเลี้ยงคือ ประมาณร้อยละ 0.6-1 ต่ออาหารทั้งหมด

รูปที่ 1 แสดงการรักษาสมดุลแคลเซียมเมื่อมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงขึ้น

ดังนั้นฮอร์โมนพาราไทรอยด์จึงมีความสำคัญในการทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงมากเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ในบทความต่อไปผมจะพูดถึงฟอสฟอรัส และแมกนีเซียมครับ

________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด







วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Talk:กระต่ายคอเอียง4



Talk: กระต่ายคอเอียง ตอนที่ 4 (แนวทางในอนาคต ตอนจบ)




ในที่สุดก็มาถึงตอนจบซักที เข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ ผมจะให้คำแนะนำในแต่ละกรณีกันไปนะครับ เผื่อจะเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้
                1. กรณีเจ้าของฟาร์มปลอดโรค สิ่งแรกที่ต้องรู้เลยว่าฟาร์มปลอดโรคจริงหรือไม่ ก่อนอื่นเลยเพื่อประหยัดต้นทุนเราจะตรวจหาแอนติบอดี้ในฟาร์มก่อน โดยวิธีการสุ่ม หรือทั้งหมดก็แล้วแต่ฟาร์ม ถ้าให้ผลลบนับว่าโชคดีสุดๆ ที่เหลือก็แค่การป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามา แต่ถ้าให้ผลบวกก็ดูกันเลยครับว่าเชื้ออยู่ที่ตัวไหนด้วยการตรวจหาตัวเชื้อ ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในข้อ 2 สำหรับฟาร์มที่ไม่มีเชื้อนั้น ต้องป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามาครับ สามารถทำโดยกักโรคควรนานเกิน 2 เดือน แล้วตรวจหาแอนติบอดี้ว่ากระต่ายที่รับเข้ามามีเชื้อหรือไม่ รวมทั้งสามาถตรวจหาตัวเชื้อร่วมด้วย
                2. กรณีเจ้าของฟาร์มมีโรค แนะนำให้ยาทั้งฟาร์มครับ เนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อไปได้ทั้งฟาร์ม แต่อย่างไรก็ตามอยู่ที่ว่าผลบวกที่เกิดขึ้นนั้นได้จากการตรวจหา ตัวเชื้อ หรือแอนติบอดี้ ถ้าเป็นการตรวจหาตัวเชื้อก็บอกได้แน่นอนครับว่ามีเชื้อแน่ๆ แต่ถ้าผลตรวจพบแอนติบอดี้ก็ไม่แน่ว่ากระต่ายตัวนั้นอาจมีเชื้ออยู่ หรือเป็นกระต่ายที่สามารถต่อสู้กับเชื้อได้ ทำให้มีสองหลักการที่ใช้ในต่างประเทศดังนี้
                                2.1 จากรายงานจากประเทศไต้หวัน อันนี้จะออกแนวทำลายแต่โรคหยุดไว สามารถสร้างฟาร์มปลอด โรคได้อย่างรวดเร็ว หลักการคือตรวจเลือดกระต่ายทุกตัวด้วยการตรวจหาแอนติบอดี้ ตัวไหนมีบวกก็คัดทิ้งทันที จากรายงานใช้เวลาประมาณ 45 วันก็สามารถเป็นฟาร์มปลอดโรค จากนั้นเราก็กักโรคโดยตรวจหาแอนติบอดี้อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ข้อดีคือโรคหยุดไว ข้อเสีย กระต่ายโดนปลดทิ้งเยอะ บางที่กระต่ายที่เราปลดไปอาจจะเป็นกระต่ายที่สามารถต่อสู้กับเชื้อก็ได้ และถ้ามีเชื้อเล็ดลอดเข้ามาในฟาร์มอีก ความเสียหายที่เกิดค่อนข้างรุนแรงมาก
                                2.2 อีกฝั่งประเทศไทยก็ออกทฤษฎีมาว่า เย้ย!!! ที่ไทยออกกับเค้าด้วยเหรอ ขอโทษทีครับไม่ใช่ของไทยหรอก จากที่ผมทำงานวิจัยเรื่องนี้ก็พยายามหาทางแก้ไข อันนี้เป็นทฤษฎีที่ผมคิดขึ้นมาเองครับ ถ้าใครมีความคิดว่าตรงไหนผมคิดไม่ถูกต้อง บอกกันได้นะครับ จะได้เป็นการแบ่งประสบการณ์กัน เพราะผมก็ไม่ได้บอกว่าวิธีของผมเป็นวิธีที่ถูกต้อง เนื่องจากผมก็ยังไม่เคยทำการทดลองพิสูจน์
                                หลักการที่ว่าผมคิดจากถ้าผมสั่งให้ทำลายการต่ายมากมายขนาดนั้นเจ้าของฟาร์มต้องไม่พอใจ และเสียเงินเป็นอย่างมาก ซึ่งจากที่ผมเก็บตัวอย่างผมว่าหลายที่ในประเทศของเราก็มีเชื้ออยู่แล้ว พูดง่ายๆก็คือหนีไปไหนไม่รอด ดังนั้นผมจึงคิดว่า เราต้องอยู่กับมันให้ได้ เราจะอยู่กับมันได้ไง หลักการก็คือ เชื้อนี้คือเชื้อฉวยโอกาส หมายความว่า ถ้าร่างกายสัตว์แข็งแรงร่างกายเราก็สามารถทำลายเชื้อนี้ได้ครับ แต่การจัดการเรื่องสุขภาพต้องดีมาก เพราะปัญหาของประเทศเราคือ ฤดูร้อน และปลายฝนต้นหนาว ตอนนี้ภูมิคุ้มกันแย่แน่นอนจัดการยากมาก และเป็นช่วงที่เชื้อสามารถแสดงฤทธิ์ออกมากได้ ดังนั้นผมเสนอวิธีการเป็นข้อๆดังนี้ครับ
                                                2.2.1 คัดทิ้งกระต่ายที่แสดงอาการ เนื่องจากกระต่ายกลุ่มนี้ถือว่าไม่สามารถต่อสู้กับโรคได้ และยังจะแพร่เชื้อต่อไปอีก ถึงจะรักษาให้หายการให้ผลผลิตก็ไม่ดีเท่าเดิม
                                                2.2.2 ให้ยาแก่กระต่ายก่อนภูมิคุ้มกันจะตก ถ้าเราคิดนะครับ ถ้าผมมีกระต่ายอยู่ 100 ตัว สมมติติดเชื้อเรียบร้อยไปแล้ว 40 ตัว แสดงอาการ 5 ตัว ดังนั้นผมคัดทิ้งออกไปเหลือ 35 ตัวที่มีเชื้อ แต่ปัญหาคือ ในความจริงแล้วตาเราจะเห็นแค่ กระต่ายป่วย 5 ตัว ปกติ 95 ตัว ซึ่งตัวปัญหาที่ไม่แสดงอาการ 35 ตัวเนี่ยแหล่ะครับ ที่เราต้องจัดการ อย่างที่กล่าวไปเชื้อนี้เป็นเชื้อฉวยโอกาส ถ้าเราเลี้ยงดี สภาพอากาศดี เชื้อที่อยู่ในกระต่ายที่มีเชื้อจะออกมาน้อยมาก แต่เมื่อในช่วงอากาศไม่ดีอย่างที่ผมได้กล่าวไปกระต่ายที่มีเชื้ออยู่จัดหนัก พ่นเชื้อออกมาทำให้กระต่ายปกติติดเชื้อได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงไป ดังนั้นแก้ไขก็คือการให้ยากระต่ายทั้งฟาร์ม ยาจะทำให้กระต่ายที่พ่นเชื้อไม่พ่นเชื้อ และกระต่ายปกติก็ได้รับการป้องกัน
                                                ตอนนี้บางคนอาจบอกว่าแล้วเชื้อที่ออกมาเล็กน้อยตอนที่สภาพอากาศดี และเราไม่ได้ให้ยาเราจะทำยังไง จุดที่สำคัญมากที่จะสร้างกระต่ายเทพ คือกระต่ายที่ทนทานต่อเชื้อตัวนี้ มันจะเกิดขึ้นโดยที่กระต่ายปกติได้รับเชื้อในปริมาณน้อยในขณะที่ร่างกายแข็งแกร่ง ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะจัดการเชื้อได้ ซึ่งได้มีการยืนยันจากงานทดลองแล้ว ภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ได้มีแค่คนทำลายเท่านั้น ยังมีกลุ่มเซลล์ที่จะสามารถจดจำเชื้อ (Memory cell) เมื่อเจอเชื้ออีกครั้งก็สามารถกระตุ้นภูมิและต่อสู้กับเชื้อได้รวดเร็วกว่าครั้งแรก ซึ่งในเชื้ออื่นๆพบว่าร่างกายมีการตอบสนองดังกล่าว ซึ่งน่าจะเป็นในทางเดียวกันกับเชื้อตัวนี้ แต่ก็ต้องรอการทดลองยืนยันต่อไป
                                                เพราะฉะนั้นถ้าทฤษฎีที่ได้กล่าวไปได้รับการยืนยันจากการทดลอง เราจะสามารถสร้างกระต่ายเทพ และอยู่กับโรคได้อย่างมีความสุข แต่ก็ต้องรอการทดลองยืนยัน แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ก็ไม่ต้องใช้วิธีการตรวจที่ยุ่งยาก
                3. กรณีสัตว์เลี้ยง จุดยากของการทำฟาร์มพ่อแม่พันธุ์แท้ กับสัตว์เลี้ยงคือการไม่มีคำว่า “คัดทิ้ง” แต่ไม่ต้องกลัวครับ ทุกอย่างมีทางออก อยากแรกรักษาเลยครับ อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น แล้วดูอาการกันไป เพราะโรคนี้ถ้าได้รับการรักษาไม่ถึงตายถ้าเรารักษาทันท่วงที สำหรับการตรวจผมแนะนำการตรวจหาตัวเชื้อ แต่ต้องรอวิธีตรวจที่กำลังพัฒนาอยู่ เนื่องจากเราต้องรู้ว่าเชื้อจะออกมากับปัสสาวะช่วงไหน จะได้เก็บตัวอย่างได้ และต้องมีวิธีตรวจที่มีความแม่นยำมากเพียงพอ สำหรับคนที่จะซื้อก็ต้องเตรียมใจด้วยครับ อย่างที่บอกวิธีการตรวจในกระต่ายมีชีวิตยังไม่มีวิธีที่ดีพอ อย่างไรก็ตามสำหรับสัตว์เลี้ยงผมยังใช้หลักเดิมเสมอว่า ไม่มีสัตว์ตัวไหนแทนกันได้ ถ้าผมได้ข้อมูลการรักษามากกว่านี้ผมจะรีบนำมาลงให้ทันทีครับ
                หวังว่าคงได้รับความรู้มากขึ้นนะครับ เนื่องจากเชื้อตัวนี้ก็ยังเป็นที่สนใจต่อนักวิจัยอยู่ในขณะนี้ ถ้ามีองค์ความรู้มากกว่านี้จะรีบเอามาลงให้ ส่วนตัวผมก็คงต้องหาทุนวิจัยทำต่อไปจนกว่าฟาร์มในไทยจะต่อสู้กับเชื้อตัวนี้ได้ สุดท้ายผมของฝากว่า ถ้ามีคนในบ้านมีภูมิคุ้มกันบกพร่องดังเช่น เอดส์ ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ใช้ยามะเร็ง เป็นต้น ให้รีบนำกระต่ายที่สงสัยออกจากบ้าน และติดต่อแพทย์ที่รักษาอยู่ เนื่องจากเชื้อสามารถติดคนกลุ่มดังกล่าวได้ ซึ่งคนปกติก็มีรายงานว่าติดเชื้อนี้ได้ ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องหาหลักฐานยืนยันกันต่อไปครับ
____________________________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Talk:ไข้น้ำนม1


Talk: 
ไข้น้ำนมในกระต่าย 1 (การช่วยเหลือ)  



              พอดีวันอังคารที่ผ่านมาเพื่อนผมคนหนึ่งที่เป็นหมออยู่โทรมาถามเรื่อง ไข้น้ำนมในกระต่าย ผมก็ให้รักษาประคับประ คองแม่ไปก่อนด้วยการให้แคลเซียม และสารน้ำ ส่วนลูกก็ให้กินนมแม่น้อยลงเนื่องจากมีลูก 7 ตัว สรุปว่ามีความสามารถรอดได้ครับ ก็ต้องยกความดีให้เพื่อนผมแหล่ะครับสามารถรักษาได้อย่างถูกต้อง เพราะตอนนั้นผมเหมือนเคยอ่านเจอว่ามี แต่ไม่ได้รู้ละเอียดมาก ดังนั้นจึงถือโอกาสนี้สืบค้น และเขียนบทความนี้เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อไปได้ครับ
ไข้น้ำนม (Milk fever) คือภาวะที่แคลเซียมในกระแสเลือดต่ำกว่าปกติ ซึ่งสามารถเป็นแบบแสดงอาการ (Clinical) หรือไม่แสดงอาการก็ได้ (Sub-clinical) อาการที่พบคือ ชักกระตุก (Tetany) นอนไม่ลุก (Lateral recumbancy) หูตก (Ear flapping) ขาหลังกระตุก (Jerking of hind limb) กล้ามเนื้อสั่น (Muscle tremor) และเสียชีวิต
พอพูดเรื่องนี้ก็จะคิดถึงโคนม เนื่องจากเป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก และเป็นเรื่องสำคัญในการจัดการ สาเหตุที่ทำให้ปริมาณแคลเซียมในเลือดต่ำจนแสดงอาการมีสองทางคือ
1.ทางตรง กระต่ายเสียแคลเซียมออกนอกร่างกายมากเกินไปซึ่งส่วนมากจะพบในแม่ให้นม ท้องแรก มีลูกเยอะ เนื่องจากองค์ประกอบของนมกระต่ายประกอบไปด้วยแคลเซียมปริมาณสูงกว่าสัตว์ชนิดอื่นมาก รวมทั้งกระต่ายไม่ได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อการดำรงชีวิตโดยเฉพาะช่วงที่ต้องการมากกว่าปกติดังเช่นช่วงให้นมลูก หรือก่อนคลอด เป็นต้น
2. ทางอ้อม เป็นมาจากกระต่ายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้เนื่องจากขาดวิตามินดี แต่อย่างไรก็ตามแคลเซียมสามารถดูดซึมโดยไม่ต้องใช้วิตามินดีก็ได้ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป สมดุลแคลเซียม ฟอสฟอรัสที่เสียไป ฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณแคลเซียมผิดปกติ อาหารที่มีแร่ธาตุหรือสารที่ยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม ขาดแมกนีเซียมจากอาหารที่มีแมกนีเซียมต่ำ โรคไตที่ไม่สามารถควบคุมการขับแคลเซียมได้ เป็นต้น  
การตรวจยืนยัน ก่อนการตรวจยืนยันให้รักษาชีวิตกระต่ายก่อน เนื่องจากกระต่ายจะมาด้วยอาการที่อ่อนแอ ควรให้สารน้ำตามที่กระต่ายสูญเสียไป จากนั้นตรวจหาแคลเซียมในเลือดจากซีรั่ม โดยค่าปกติอยู่ในช่วง 12.8-14.8 mg/dl (3.2-3.7 mmol/l) แต่ในกระต่ายให้นมสามารถลดลงมาอยู่ในช่วง 10-11 mg/dl ส่วนในกระต่ายที่แสดงอาการจะพบว่ามีระดับแคลเซียมอยู่ในช่วง 5.4-6.2 mg/dl
สามารถรักษาโดยให้แคลเซียมกลูโคเนต (Calcium gluconate) เข้าเส้นเลือดหรือช่องท้องช้าๆ ในขนาด 0.6 mg Ca/kg ภายในสองชั่วโมงกระต่ายจะกลับมามีอาการปกติ จากนั้นต้องดูระดับแคลเซียมในเลือดทุก 6 ชั่วโมงเพื่อประเมินอาการและป้องกันไม่ให้ระดับแคลเซียมในเลือดกลับไปต่ำอีก สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ แยกลูกกระต่ายออกจากแม่เพื่อให้กินนมน้อยลง และให้นมเสริม โดยวิธีการสามารถดูได้ในบทความ “แม่กระต่ายไม่เลี้ยงลูก” สามารถเสริมอาหารแคลเซียมสูง

การป้องกันคือการให้อาหารที่มีสัดส่วนของแคลเซียมที่ถูกต้องในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ผมจะกล่าวในบทความ อาหารกับไข้น้ำนม : Food vs milk fever prevention”

ในบทความตอนต่อไปผมจะกล่าวถึงหลักการต่างๆที่มาสนับสนุนความคิดที่ผมได้เขียนไปในข้างต้นครับ
 __________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด