หัวข้อ

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

Talk: กระต่ายคอเอียง2



Talk: กระต่ายคอเอียง ตอนที่ 2 (การแพร่ระบาด อาการ)




              ครับผมมาคุยกันต่อเลยนะครับ สำหรับการแพร่ระบาดพบว่ามีรายงานการแพร่ระบาดในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย โดยความชุกของเชื้อในประเทศต่างได้แสดงไว้ในตารางที่ 1 ในประเทศไทยได้รับการยืนยันการมีเชื้อในประเทศเป็นที่แน่นอนแล้วว่ามีเชื้อในประเทศไทย (Kovitvadhi et al., 2012) ซึ่งการศึกษาดังกล่าวได้ศึกษาทั้งในกระต่ายเลี้ยง และกระต่ายเนื้อโดยพบความชุกมากถึงร้อยละ 27.78 รวมทั้ง Polpruksa et al. (2011) ได้ตรวจแอนติบอดี้ของกระต่ายที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่ง (ผมจะอธิบายต่อไป) พบว่ามีความชุกมากถึงร้อยละ 34.5 ดังนั้นเชื้อดังกล่าวได้เข้ามาในประเทศไทยแล้ว ความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อนี้ย่อมมีความสำคัญยิ่ง
               เชื้อสามารถเข้าไปทำลายได้ 3 ระบบทำให้แสดงอาการได้ทั้งหมด 3 ระบบโดยจะแสดงอาการเพียงระบบเดียวหรือหลายระบบรวมกันได้
1.ระบบประสาท ดังเช่น คอเอียง (รูปที่ 1) อัมพาต ขาแปร (รูปที่ 2) เป็นต้น
2.ทางตา โดยอาการที่มักพบคือ Cataract (รูปที่ 3) ตาอักเสบ แล้วมักเห็นสีเหลืองขุ่นข้นอยู่ในตากระต่าย (รูปที่ 4)
3. ไต ทำให้มีอาการเหมือนกับกระต่ายเป็นโรคไต ดังเช่น ปัสสาวะมาก ดื่มน้ำมาก เป็นต้น
อย่างไรก็ตามกระต่ายที่ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการซึ่งพบมากถึงร้อยละ 14.46 ดังนั้นการตรวจทางห้องปฎิบัติการ หรือการใช้เครื่องมือที่มีความจำเพาะจึงมีความจำเป็นในการยืนยันการติดเชื้อ

                  ผมหวังว่าจะได้รับความรู้เพิ่มขึ้นนะครับ โดยในตอนต่อไปผมจะกล่าวถึง วิธีการตรวจ และการรักษานะครับ

___________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด



วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

Talk:Zoonosis2



Talk: โรคกระต่ายสู่คน2 (Rabbit zoonosis) ตอนจบ



5. Pasteurella multocida (หวัดกระต่าย) เชื้อนี้เป็นเชื้อที่พบมากที่ทำให้กระต่ายเป็นหวัด โดยคนจะติดทางสูดดมเชื้อเข้าไป แต่ก็น้อยมากที่คนจะติดเชื้อนี้ อาการก็คล้ายกับหวัด คือมีน้ำมูก น้ำตาไหล ซึ่งจุดสังเกตที่หลังมือกระต่ายจะมีน้ำมูกติดอยู่เนื่องจากมีการป้ายน้ำมูก (รูปที่ 9-10) โดยยาที่รักษาก็จะใช้ยาที่ไวต่อเชื้อนี้ดังเช่น Oxytetracycline, Enrofloxacin เป็นต้น ซึ่งรายละเอียดเชื้อ นี้หวังว่าจะมีโอกาสได้เขียน เพราะมีความสำคัญและคิดว่าทุกฟาร์มต้องผ่านโรคนี้มาอย่างแน่นอน

6. Enteric bacteria (แบคธีเรียที่ทำให้ท้องเสีย) ก็พบในกระต่ายที่ท้องเสียแล้วเราไปรับเชื้อจากอุจจาระที่ปนเปื้อนเชื้อ แล้วเรากินเข้าไปทำให้ท้องเสียได้ โดยเชื้อที่มักพบว่าก่อปัญหาคือ Salmonella sp., Campylobacter sp. และ Escherichia coli การรักษาก็ให้ยาปฎิชีวนะให้ตรงกับเชื้อ

7. Encephalitozoonosis (โรคคอเอียงจากโปรโตซัว) สำหรับโรคนี้รายละเอียดไปหาในบล๊อกได้ครับในหัวข้อ Talk:กระต่ายคอเอียง อย่างว่าครับเชื้อนี้จะติดในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีรายงานว่าติดคนปกติได้ สำหรับอาการมีสามระบบคือ ประสาท (คอเอียง ขาแปล เป็นต้น) ตา (อักเสบ ของเหลวสีขุ่นในตา เป็นต้น) ไต (รูปที่12-14) การรักษา Albendazole ขนาด 20-30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้วันละครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นลดขนาดยาเป็น 15 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม ให้วันละครั้ง ต่อเนื่องอีก 1 เดือน โดยให้ทางการกิน หรือ Fenbendazole ขนาด 20 มิลลิกรัมต่อกิโล กรัม ให้วันละครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน โดยให้ทางการกิน ซึ่งมักให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย
                8. Tularaemia (ไข้กระต่าย) โรคนี้เป็นที่ฮือฮามากครับตอนผมอยู่ปี 3 เนื่องจากมีคนไทยติดเชื้อ ซึ่งความจริงคืออะไร ผมก็ไม่ทราบครับ เชื้อสาเหตุคือ Francisella tularensis เชื้อจะพบมาจากเนื้อเยื่อ เลือด และอุจจาระกระต่ายที่ติดเชื้อ จากนั้นเชื้อติดคนจากบาดแผลหรือผ่านแมลงที่กัดได้เช่น ยุง เห็บ เป็นต้น ซึ่งอาการในคนคือมีรอยโรคที่ผิวหนัง มีเชื้อในกระแสโลหิต เยื่อหนุ้มสมองอักเสบ และเสียชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตามเชื้อนี้เป็นเชื้อที่พบในกระต่ายป่าซึ่งอยู่ในสกุล Lepus sp. ซึ่งกระต่ายเลี้ยงหรือกระต่ายเนื้อชื่อ Orytholagus cuniculus ซึ่งการพบเชื้อในกระต่ายเลี้ยงน้อยมากๆ ซึ่งการติดเชื้ออเมริกานั่นเกิดจากคนไปล่ากระต่ายป่าแล้วติดเชื้อ อย่างไรก็ตามเชื้อนี้อันตรายถึงตายต้องระวังไว้ครับ
                9. Rabie (พิษสุนัขบ้า) กระต่ายคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ดังนั้นกระต่ายถึงติดเชื้อนี้ได้ การติดเชื้อก็เกิดจากบาดแผลการกัด หรืออย่างอื่นทำให้เชื้อในน้ำลายสัตว์ที่ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายสัตว์ปกติ หรือผ่านจากเยื่อเมือกแล้วถึงติดเชื้อ อาการของกระต่ายคือมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป พบอาการทางประสาทดังเช่น ตาบอด ขาหน้าเป็นอัมพาต เป็นต้น มีไข้ น้ำลายไหล ไม่สามารถกลืนน้ำลายได้ โดยอาการจะแสดงหลังติดเชื้อไปแล้ว 1 เดือน  วิธีป้องกันคือทำวัคซีนในกระต่ายแต่ก็ยังไม่มีการทดลองว่าวัคซีนตัวไหนใช้แล้วสามารถป้องกันเชื้อในกระต่ายได้ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย โดยงานวิจัยในส่วนนี้ผมจะพยายามตามให้ครับ แต่ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อเราถูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมกัดแม้มีเลือดออกเพียงเล็กน้อย เราต้องไปหาหมอเพื่อฉีดยาโรคพิษสุนัขบ้าทันที ยังไงเงินค่ายาไม่กี่บาทกับเวลาไม่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับชีวิตทั้งชีวิตมันก็ไม่คุ้ม
                สรุปโรคที่สำคัญมากคือโรคพิษสุนัขบ้า กับไข้กระต่าย ดังนั้นการป้องกันคือ เราต้องล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังการทำงาน หรือเล่นกับกระต่าย กรงให้มีความสะอาดไม่อับชื้น ถ้ามีปัญหาหรืออาการป่วยให้รีบไปหาสัตวแพทย์ทันที

_______________________________________________________________________________________________ 
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด






Talk:Zoonosis1



Talk: โรคกระต่ายสู่คน1 (Rabbit zoonosis) ตอนที่ 1



                     
                     โรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic diseases) หมายถึง โรคติดเชื้อร่วมระหว่างคนและสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่า ซึ่งพบว่าโรคในมนุษย์เกือบร้อยละ 80 เป็นโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน ผมว่าคำอธิบายง่ายๆสำหรับคำนี้เราคงคิดถึง ไข้หวัดนก เนี่ยแหล่ะครับคือความน่ากลัวของสัตว์ที่อยู่ใกล้ชิดเรา ในความคิดของผม ผมคิดว่าข้อนี้คือข้อแรกที่ต้องรู้ก่อนการเลี้ยง หรือการทำงานร่วมกับสัตว์ทุกชนิด เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก หรือคนใกล้ตัวซึ่งเกิดจากความไม่รู้ของเราคงเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นแน่ ผมจะสรุปแบบพอสังเขปในแต่ละโรคนะครับ ถ้ามีโอกาสผลจะกล่าวในรายละเอียดของแต่ละโรคใน DizFocus แล้วกันครับ
                ถ้าร่างกายของเราแข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันที่ดี จะไม่ค่อยติดโรคจากกระต่าย แต่ในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกันต้องระวังเป็นอย่างมาก โดยโรคจากกระต่ายสู่คนเท่าที่ค้นหามามีดังนี้
                1. Cheyletiella (ไรขนกระต่าย) อาการคือ จะเป็นผื่นแดงคัน โดยไรตัวนี้จะอยู่บนตัวกระต่าย และแอบอยู่ตามที่รองนอนได้ วิธีการตรวจทำโดยดึงขนมาแปะบนน้ำมัน เราจะเจอไรที่มีหน้าตาดังรูปที่ 1 โดยกระต่ายจะเกาบริเวณที่คันและพบผงสีขาวเมื่อเราแหวกขนกระต่ายดู (รูปที่ 2) การแก้ไขเริ่มจากฉีดยา ivermectin 200-400 µg/kg sc ให้กระต่ายและสัตว์เลี้ยง ชนิดอื่นที่มีอยู่ รวมทั้งทำความสะอาดที่รองนอน


2. Fleas (หมัด) ส่วนมากระต่ายจะติดมาจากสัตว์ชนิดอื่นที่ใกล้ชิดกัน โดยอาการทั้งในคนและสัตว์จะมีผื่นคัน ส่วนมากจากเป็นหมัดแมว (Ctenocephalides felis) โดบหมัดส่วนมากจะพบที่ขอบหู (โทษทีผมหารูปไม่เจอ คงหายไปกับคอมที่เคยหายแหล่ะมั้ง T-T หายากนะเนี่ย) แต่ก็สามารถพบในร่างกายได้เช่นกัน วิธีการตรวจก็คือจากอึหมัด ใช้หวีสางเหาหรืออะไรที่มันละเอียด แล้วเคาะบนกระดาษสีขาวที่เปียกน้ำ จะพบเป็นสีแดงเนื่องจากหมัดจะกินเลือด หรือเราจะพบอึสีดำๆเมื่อเราแหวกขน (รูปที่ 3) วิธีการป้องกันรักษาไม่สองกรณี กรณีแรกคือเราเลี้ยงแต่กระต่ายไม่มีสัตว์อื่น เราก็ไม่ให้กระต่ายไปพบสัตว์ชนิดอื่น แต่ถ้าเรามีสัตว์อื่นก็ต้องใช้ยาในสัตว์ทุกตัวซึ่งสามารถเลือกใช้ตัวยา Selamectin ได้ครับ 

3. Psoroptes cuniculi (ไรหู) พบยากมากครับที่ไรดังกล่าวจะมาทำลายมนุษย์ สังเกตง่ายมากดูด้านในใบหูของกระต่ายเห็นเป็นแผ่นๆ (รูปที่5) ถ้าดึงออกมาก็เจอตัวมันออกมาวิ่งอย่างมากมาย รักษาก็ ivermectin 200-400 µg/kg sc ให้สามครั้งห่างครั้งละ 2 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามเราต้องทำความสะอาดสถานที่เลี้ยงให้สะอาดด้วย



4. Trichophyton mentagrophytes หรือ Microsporum canis (เชื้อรา) อาการไม่ต้องอธิบายมากเป็นผื่นแดงคัน ในกระต่ายมันพบที่ปลายนิ้ว ปลายจมูก ใบหู และขอบตา (รูปที่ 7-8) สามารถใช้ Itraconazole 10mg/kg PO วันละครั้งนาน 15 วันในการรักษา สำหรับในฟาร์มจะเป็นจุดบอกได้ว่าขณะนี้ร่างกายกระต่ายอ่อนแอ และความไม่สะอาดของโรงเรือน 



 _____________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด


เปลี่ยนรูปแบบใหม่





เปลี่ยนรูปแบบใหม่




สวัสดีครับ พอดีไปดูตรงรูปแบบ เลยลองไปเปลี่ยนรูปแบบดู ถ้ามีข้อเสนอแนะอย่างไรบอกได้ครับ
ด้านซ้ายบนมีกล่องใส่ชื่อเรื่องแล้วลองหาดูจะง่ายขึ้นครับ


วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

Talk: การจัดการฟาร์ม1



Talk: การจัดการฟาร์ม 1 (บทนำ)

สวัสดีครับ ขอโทษที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเขียนเพิ่ม พอดีผมไปรับงานเป็นผู้ช่วยวิจัยอีกงานนึง ทำเรื่องเกี่ยวกับไก่ชนในกรุงเทพฯ ถ้าใครมีข้อมูลก็มาแบ่งปันกันได้ครับ บทความนี้ของแบ่งเป็นสองตอนใหญ่ๆนะครับ คือบทนำ ที่จะเขียนนี้ซึ่งมีเนื้อหาไม่มาก และในส่วนต่อไปก็จะเกี่ยวกับตัวอย่างข้อมูลในฟาร์มที่ผมได้ไปเก็บมา
                ก่อนอื่นเลย พูดถึงการจัดการฟาร์ม ว่าคืออะไร หลายคนคงมีหลายความหมาย แต่ผมของสรุปง่ายๆเลยแล้วกันว่า การจัดการฟาร์มคือ กิจกรรมที่ทำให้ฟาร์มมีผลผลิตได้ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้อย่างมั่นคง โดยกิจกรรมที่กล่าวไปนั้นประกอบไปด้วยกิจกรรมหลายอย่างดังเช่น การจัดชุดแม่ผสม การทดแทน การคัดทิ้ง อาหาร เป็นต้น
                การบันทึกข้อมูลถือว่าเป็นส่วนหนึ่งและเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดการฟาร์ม เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกสถานะของฟาร์มทั้งในอดีต อนาคต รวมไปจนถึงการคาดการณ์ ค้นหาถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งการบันทึกข้อมูลที่ดีและครบถ้วนย่อมส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการฟาร์มให้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลที่บันทึกนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการข้อมูลใดมาวิเคราะห์บ้าง ซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ผมให้ฟาร์มเก็บนั้นมีเพียง เบอร์แม่ เบอร์พ่อ วันที่ผสม ใครผสมกับใคร ตรวจท้องวันที่เท่าไหร่ ได้ผลอย่างไร ผสมซ้ำเมื่อไหร่ คลอดวันไหน ลูกคลอดกี่ตัว ตายกี่ตัว อย่านมวันไหน อย่านมแล้วเหลือรอดกี่ตัว พ่อแม่ปลดหรือตายออกวันไหน ซึ่งผมประทับใจมากครับฟาร์มส่วนใหญ่ได้จดข้อมูลเหล่านี้ไว้อย่างดี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการวิเคราะห์ดัชนีหลัก
ดัชนีหลัก คือดัชนีที่มีความสำคัญมาก และมักใช้เป็นดัชนีที่บ่งบอกศักยภาพการผลิตของฟาร์มที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามดัชนีหลักย่อมเกิดจากดัชนีรอง และค่าอื่นๆ จากหลักการดังกล่าวทำให้เราสามารถติดตามหาสาเหตุของค่าดัชนีหลักที่ผิดปกติไปได้ ดัชนีหลักอันแรกคือ จำนวนลูก/แม่/ปี (Offring/Doe/Year) ซึ่งค่านี้ประกอบไปด้วย จำนวนคอก/แม่/ปี (Litter/Doe/Year) และ จำนวนลูกหย่านม/คอก (PreWean/Litter) จำนวนคอก/แม่/ปี ประกอบด้วย ขนาดฝูงแม่ (BreedingGroupSize) และ อัตราผสมติด (%ForrowingRate) ส่วนจำนวนลูกหย่านม/คอก ประกอบไปด้วย จำนวนลูกคลอด ณ วันคลอด (BornAliveLitter) และจำนวนลูกตายก่อนหย่า (PreWean Mortality) โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวจะแสดงให้เห็นดังรูปที่


รูปที่ 1 แสดงความสัมพันธุ์ของดัชนีหลัก

ซึ่งในอนาคตเราอาจเก็บข้อมูลมากกว่านี้ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ให้มากขึ้นกว่าเดิมได้  สำหรับดัชนีรอง หรือ
ดัชนีการเงิน ถ้ามีโอกาสผมจะอธิบายให้ฟังโดยละเอียดอีกทีครับ โดยดัชนีที่ผมอยากให้คิดได้คือ ค่าใช้จ่ายต่อแม่ต่อปี ซึ่งถ้า
เราทราบจะทำให้เรารู้ทันทีว่าตอนนี้เราขาดทุนกำไรเท่าไหร่ ส่วนอีกดัชนีอีกตัวที่สำคัญในกระต่ายคือ Back breed หมาย
ความว่า ตั้งแต่กระต่ายคลอดจนได้รับการผสมครั้งใหม่ใช้เวลานานกี่วัน ในต่างประเทศมีตั้งแต่ 1,7,21 หรือมากกว่านั้น
ในฟาร์มขนาดใหญ่ ซึ่งจะบ่งบอกถึงการจัดการ และประสิทธิภาพฟาร์มเป็นอย่างดี
สุดท้ายนี้ถ้ามีฟาร์มไหน หรือท่านผู้ใดได้เก็บข้อมูลดังกล่าวไว้ ทางคณะผู้วิจัยขออนุญาติเข้าไปเก็บข้อมูลเพื่อนำมา
วิเคราะห์ประสิทธิภาพฟาร์มในประเทศไทย สามารถติดต่อมาที่ attawitthai@hotmail.com ได้เลยครับผม
ตอนหน้าผมจะเขียนวิธีเก็บข้อมูลเบื้องต้นด้วยวิธีใบหน้ากรง สำหรับฟาร์มที่สนใจ ซึ่งถ้าใครมีข้อมูลประมาณ 5-6 เดือน 
สามารถส่งมาให้ผมวิเคราะห์ให้ได้ครับ

____________________________________________________________________________________________________________________\
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด



วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

DizFocus:E.cuniculi





DizFocus
     : Encephalitozoon cuniculi infection, โรคคอเอียงจากโปรโตซัว




เขียนเรื่องนี้ทั้งทีก็เลยเขียนแบบสรุปแบบสั้นๆให้ด้วย

เชื้อสาเหตุ : Encephalitozoon cuniculi =เอ็นเซ็บฟาลิโตซูน คูนิคูไล ซึ่งเชื้อนี้อยู่ในกลุ่ม Microsporidia เป็นโปรโตซัวกึ่งรา

การติดต่อ : การกิน ((ทางหลัก) สูดดม จากสปอร์ที่ปนเปื้อนในธรรมชาติ และผ่านรกจากแม่ที่มีเชื้อ

อาการ : สามารถแสดงอาการได้ 3 ระบบ โดยจะแสดงอาการเพียงระบบเดียวหรือหลายระบบรวมกันได้ 1.ระบบประสาท ดังเช่น คอเอียง อัมพาต ขาแปร เป็นต้น 2.ทางตา โดยอาการที่มักพบคือ มีการอักเสบ แล้วมักเห็นสีเหลืองขุ่นข้นอยู่ในตากระต่าย 3. ไต เนื่องจากมีการทำลายเซลล์ไตอย่างมาก ทำให้มีอาการเหมือนเป็นโรคไต ดังเช่น ปัสสาวะมาก ดื่มน้ำมาก เป็นต้น แต่กระต่ายที่ติดเชื้อส่วนมากมักไม่แสดงอาการ

วิธีตรวจยืนยัน : ตรวจหาตัวเชื้อต้องใช้ตัวอย่างเป็นสมอง ตับ ไต: กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน, ตรวจทางจุลพยาธิวิทยาด้วยการย้อมสีพิเศษ และการตรวจหาสารพันธุกรรม ส่วนการตรวจหาการตอบสนองของร่างกายใช้เลือดเป็นตัวอย่าง: ELISA, CIA, Direct agglutination, IFA เนื่องจากวิธีการตรวจยุ่งยากส่วนมากจึงจะวินิจฉัยแยกจาก อุบัติเหตุ โรคทางระบบทางเดินหายใจ ไรหู แล้วถ้าไม่ใช่สาเหตุดังกล่าวจึงสงสัยเชื้อ E. cuniculi

ยา : เลือกยาที่จะให้เพียงข้อเดียวเท่านั้น
1.Albendazole ขนาด 20-30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้วันละครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นลดขนาดยาเป็น 15 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม ให้วันละครั้ง ต่อเนื่องอีก 1 เดือน โดยให้ทางการกิน
2.Fenbendazole ขนาด 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ให้วันละครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน โดยให้ทางการกิน
โดยส่วนมากมักให้ยาแก้อักเสบร่วมด้วย

การหายของโรค : คอที่เอียงจะค่อยๆกลับมาปกติ แต่น้อยรายมากที่จะรักษาหายได้

ข้อแนะนำ :
1. ถ้ามีคนในบ้านมีภูมิคุ้มกันบกพร่องดังเช่น เอดส์ ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ใช้ยามะเร็ง เป็นต้น ให้รีบนำกระต่ายที่สงสัยออกจากบ้าน และติดต่อแพทย์ที่รักษาอยู่ เนื่องจากเชื้อสามารถติดคนกลุ่มดังกล่าวได้
2. เมื่อพบกระต่ายติดเชื้อให้รีบแยกออกจากฝูงทันที และล้างมือทำความสะอาด ตากแดด อุปกรณ์ เพื่อป้องกันแพร่ระบาดของเชื้อ
3. การป้องกันเชื้อไม่ให้เข้าสู่ฟาร์มคือ เมื่อนำกระต่ายใหม่เข้ามาให้กักโรคไว้ก่อนประมาณ 2 เดือนถ้าไม่มีอาการถึงนำเข้าฝูงได้ แต่วิธีการดังกล่าวก็ไม่ใช่วิธีการที่จะคัดกรองโรคได้ 100%
4. ในกรณีส่วนใหญ่ยาที่ใช้รักษาไม่สามารถทำลายเชื้อออกจากร่างกายได้ทั้งหมด ยาทำหน้าที่เพียงไม่ให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดซึ่งทำให้อาการกระต่ายแย่ลง และทำให้กระต่ายไม่สามารถแพร่เชื้อต่อไปได้
5. กระต่ายที่ติดเชื้อส่วนมากมักไม่แสดงอาการ


_______________________________________________________________________________________________________

ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด



วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

Talk: กระต่ายคอเอียง1


Talk: กระต่ายคอเอียง ตอนที่ 1 (บทนำ สาเหตุ วงชีวิต)




             
              เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาสำคัญในฟาร์มกระต่ายในต่างประเทศ เนื่องจากวิธีการตรวจค่อนข้างยาก การรักษาก็ยิ่งยากเช่นเดียวกัน ก่อนอื่นเมื่อกระต่ายมีอาการคอเอียง นั้นสามารถเกิดจากหลายสาเหตุโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มสาเหตุดังนี้
                1. Peripheral vestibular disease คือการเกิดปัญหาที่ส่วนใน หรือส่วนนอกของหู ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีปัญหาเป็นได้จาก
                                1.1 หูชั้นใน ชั้นนอก อักเสบเรื้อรัง หรือเฉียบพลันทำให้มีการทำลายในส่วน vestibular เกิดขึ้น
                                1.2 การติดเชื้อภายนอก เช่น การติดเชื้อแบคธีเรีย, ไรหู (Psoroptes cuniculiเป็นต้น
                                1.3 การติดเชื้อย้อนจากทางเดินหายใจ
                                1.4 วัตถุแปลกปลอม
                2. Central vestibular disease คือเกิดปัญหาในส่วน vesticular เลย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีปัญหาเป็นได้จาก
                                2.1 เชื้อจากระบบทางเดินหายใจ เช่น Pasteurella sp., Bordetella sp., Staphylococcus sp.
                                2.2 แบคธีเรียทำให้เกิดอาการทางประสาท เช่น Listeria monocytogenes
                                2.3 ปรสิต
                                2.4 โปรโตซัว คือ Encephalitozoon cuniculi ซึ่งบทความทั้งหมดนี้จะกล่าวถึงเชื้อตัวนี้ครับ
                3. สาเหตุอื่นๆ ดังเช่น อุบัติเหตุ มะเร็ง เป็นต้น
                โอ๊ย อ่านแล้วปวดหัว ผมขอสรุปง่ายๆแล้วกันนะครับ เวลาผมรักษากระต่ายที่มีอาการคอเอียง สิ่งแรกที่ผมถามคือถามว่ากระต่ายประสบอุบัติเหตุหรือไม่ เพื่อดูว่ามีการกระทบกระเทือนทางระบบประสาทหรือเปล่า จากนั้นจะดูว่ากระต่ายมีไรในหู หรืออาการทางระบบหายใจหรือไม่เพราะมักจะเป็นสาเหตุที่พบบ่อยและสามารถแก้ไขได้ ถ้ากระต่ายไม่เป็นทั้งหมดโอกาสที่จะเป็นเชื้อโปรโตซัวทำให้คอเอียงก็เป็นไปได้สูง จากนั้นก็จะให้ยารักษาทันทีเนื่องจากวิธีการตรวจในปัจจุบันนั้นไม่สามารถยืนยันการมีเชื้อในกระต่ายได้ การให้ยารักษาเพื่อทดลองก็เป็นเรื่องที่จำเป็น
พอดีเรื่องนี้ผมทำงานวิจัยเพื่อใช้เรียนจบเลยพอมีความรู้อยู่บ้าง โดยผมขออธิบายในส่วนของเชื้อก่อนเลยครับ Encephalitozoon cuniculi (E.cuniculi) เป็นโปรโตซัวจัดอยู่ในกลุ่ม Microsporidia อาศัยอยู่ในเซลล์แบบถาวร และสามารถสร้างสปอร์ซึ่งเป็นระยะติดต่อการติดเชื้อเป็นแบบฉวยโอกาสคือร่างกายสัตว์ต้องอ่อนแอก่อนถึงติดเชื้อได้ ทั้งในสัตว์หลายชนิดไม่ว่า สุนัข แมว โค ม้า กระต่าย เป็นต้น หรือมนุษย์ที่อยู่ในภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องคือ เป็นเอดส์ หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน แต่อย่างไรก็ตามก็มีรายงานหนึ่งกล่าวว่าพบเชื้อในปัสสาวะของคนเลี้ยงกระต่ายที่สุขภาพดีก็เป็นที่น่าสงสัยครับว่าคนปกติก็ติดได้หรือไม่ (Ozkan et al, 2011) ทางติดเชื้อหลักในกระต่ายเกิดจากการกินสปอร์ที่ปนเปื้อนอาหาร แต่อย่างไรก็ตามเชื้อสามารถติดทางการสูดดม และผ่านช่องคลอด ก็เป็นไปได้เช่นกัน
วงจรชีวิตของเชื้อที่ผมเขียนขึ้นจากเอกสารทางวิชาการหลายๆอัน (รูปที่ 1)โดยผมจะเริ่มอธิบายทางซ้ายมีด้านบนก่อนนะครับ สปอร์ของเชื้อที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม สปอร์นั้นมีความทนทานในสิ่งแวดล้อมมากครับ พูดง่ายๆว่าถ้าไม่โดนแสงแดด ร่วมกับมีความชื้นหน่อยๆนี่ก็อยู่ยาวเป็นเดือนเลยครับ จากนั้นกระต่ายจะได้รับเชื้อเข้าไป โดยทางหลักคือการกิน สำหรับทางเดินหายใจก็เป็นไปได้ แต่ในความเห็นของผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากมีการทดลองโดยเอาเชื้อใส่เข้าไปในจมูกกระต่ายโดยตรงเลย ต้องใช้ปริมาณของเชื้อมากพอสมควร ซึ่งในธรรมชาติการสูดดมเชื้อปริมาณมากขนาดนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ส่วนทางรกนั้นก็จะทำให้เกิดปัญหาลูกเกิดมาตาย คอเอียง ขาแปร ตั้งแต่ยังเด็กครับ จากระบบที่เข้ามาเชื้อจะพยายามเข้าสู่กระแสเลือด แล้วจึงไปสู่อวัยวะเป้าหมาย การที่เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ ในความคิดของผมคิดว่าเชื้อไม่สามารถไปด้วยตัวเองได้เนื่องจากไม่มีอวัยวะเคลื่อนที่ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคงทำลายเชื้อไปก่อนจะถึงที่หมายแน่ ถ้าภูมิคุ้มกันของเราปกตินะ ดังนั้นความเชื่อส่วนมากตอนนี้คือ มีเซลล์ทางระบบผู้คุ้มกันของร่างกายเราจับเชื้อแล้วไม่สามารถทำลายได้แล้วนำพาเชื้อไปสู่อวัยวะเป้าหมาย ซึ่งจุดนี้ต้องการการวิจัยพิสูจน์ต่อไป อย่างนั้นผมของตัดมาตอนที่เชื้อจะไปสู่อวัยวะเป้าหมาย ซึ่งอวัยวะที่เชื้อชอบที่สุดคือเซลล์ไต เชื้อจะใช้อวัยวะพิเศษเรียกว่า polar tube เจาะเข้าไปในเซลล์ จากนั้นก็จะเพิ่มจำนวนเข้าสู่ระยะต่างๆ ในที่สุดก็จะได้สปอร์ซึ่งเป็นระยะติดเชื้อออกมาจำนวนมากทำให้เซลล์ที่อาศัยอยู่แล้วสปอร์ก็ออกมา เชื้อสามารถกลับไปติดเซลล์ไตเช่นเดิม หรือไปอวัยวะอื่นดังเช่น  ตับ หัวใจ กระจกตา และสมอง หรืออาจจะออกปนไปกับปัสสาวะสู่สิ่งแวดล้อม โดยระยะเวลาตั้งแต่กินเชื้อจนมีเชื้อออกมาทางปัสสาวะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ เท่านั้น

รูปที่ 1 แสดงวงจรชีวิตของเชื้อ E.cuniculi

                ผมขอเขียนบทความตอนนี้จบที่นี้ก่อนครับ แล้วเจอในบทความในตอนต่อไป ซึ่งจะเขียนเกี่ยวกับการแพร่ระบาด และอาการค ถ้ามีคำถาม หรือข้อเสนอแนะก็บอกมาได้เลยครับ
__________________________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด