วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556
สัมมนากระต่ายเอเชีย ณ บาหลี อินโดนีเซีย
สวัสดีครับ ตอนนี้ผมได้โอกาสกลับมาประเทศไทยอีกครั้งเป็นเวลาประมาณสองสัปดาห์ หลังจากที่พักผ่อนอยู่ไทยในช่วงเวลาดังกล่าว ในวันที่ 26-30 ผมได้โอกาสไปบรรยาย และเข้าร่วมสัมมนาที่ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยงานสัมมนาดังกล่าวถือว่าเป็นงานที่รวมรวบนักวิจัยที่สำคัญต่อวงการการเลี้ยงกระต่ายเนื้อในทวีปเอเซีย ซึ่งมีแกนนำหลักอยู่สามประเทศคือ จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย มากไปกว่านั้นนักวิชาการระดับแนวหน้าในวงการกระต่ายจากยุโรป และอเมริกาก็ได้เข้าร่วมสัมมนาในงานดังกล่าวด้วย สำหรับผมก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เข้าร่วมงานสัมมนานี้ ซึ่งน่าจะได้รับข้อเสนอแนะที่สำคัญกลับมาปรับปรุง และพัฒนาอย่างแน่่นอน ซึ่งเนื้อหาที่น่าสนใจในงานสัมมนา และงานที่ผมนำเสนอ ผมจะพยายามเผยแพร่ทางบล๊อคนี้นะครับ
เนื้อหาหลักในการจัดงานครั้งนี้สามารถบอกได้ว่า เป็นการพัฒนาศักยภาพ และการแลกเปลี่ยนความรู้ในการเลี้ยงกระต่ายในทุกทุกด้าน ซึ่งงานนี้จะเน้นหนักในฟาร์มขนาดกลาง ลงไปถึงขนาดเล็ก (Small to medium size farm) และมุ่งเน้นเทคนิคการเลี้ยงกระต่ายในเขตร้อน (Tropical animal farming) ซึ่งก็เหมาะสม และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการกระต่ายในบ้านของเรา
เสียงตอบรับจากทีมงานสัมมนาหลังจากที่ผมได้ส่งเรื่องไปบรรยาย รวมทั้งทางทีมงานสัมมนาทราบว่าผมมาจากประเทศไทย ทำให้ผมได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับกระต่ายในประเทศไทยพร้อมกับความสนใจในการร่วมมือกันเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ข้อสรุป และความร่วมมือ หลังจากที่ผมได้ไปร่วมสัมมนาในครั้งนี้ ผมจะมาเผยแพร่ให้เร็วที่สุดครับ
วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Talk:ไข้น้ำนม4
Talk: ไข้น้ำนมในกระต่าย 4 (หลักการ ตอนจบ)
จริงๆแล้วบทความทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากรายงานการวิจัยอันนี้ครับ
หลังจากที่เพื่อผมถามพอเจองานวิจัยอันนี้ผมก็สบายใจเลยครับ
งานวิจัยคือการทดลองในจำนวนสัตว์ที่มีการคิดวิเคราะห์อย่างดีแล้วว่าเป็นตัวแทนของประชากรในชีวิตจริงได้
แต่อย่างไรก็ตามนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
แล้วประสบผลสำเร็จย่อมดีกว่าผลสำเร็จทางการทดลอง
เนื่องจากการทดลองก็ทำเพื่อให้สามารถใช้ได้ในชีวิตจริงนั่นเอง
จากการทดลองของ
Barlet
(1980) ได้ทดลองเปรียบเทียบกระต่ายปริมาณของ แคลเซียม ฟอสฟอรัส
และแมกนีเซียม ในเลือดกระต่าย ระหว่างกระต่ายปกติกับกระต่ายท้องจนให้นม (รูปที่ 1) แกนนอนคือระยะเวลาของกระต่าย เลข 20 จากด้าน
ซ้ายคือ ก่อนคลอด 20 วัน เลข 0 คือวันที่คลอด
ส่วนเลข 20 ด้านขวาคือ วันที่ 20 หลังคลอดซึ่งอยู่ในช่วงให้นมลูก
แกนตั้งคือความเข้มข้นของสารในเลือด โดยจากด้านบนสู่ด้านล่างคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส
และแมกนีเซียม ตามลำดับ โดยสีเขียวเป็นกลุ่มควบคุมคือ กระต่ายไม่ได้ท้องสุขภาพดี
ส่วนสีแดงคือกลุ่มกระต่ายที่ท้อง คลอดลูก และให้นม
ถ้าพบดอกจันหมายความว่ามีความแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง กลุ่มควบคุม
และกลุ่มกระต่ายที่ท้อง ดอกจันสองดอก (P<0.01) แสดงว่ามีความแตกต่างมากกว่าดอกจัน 1 ดอก (P<0.05) ถ้าไม่พบดอกจันแสดงว่าไม่แตกต่างกัน
โดยวิธีการดูว่าแตกต่างกันหรือไม่ใช้วิธีทดสอบทางสถิติ
เมื่อนักวิจัยทดลองสิ่งต่างๆเช่น กินอาหาร A กับ อาหาร B อันไหนดีกว่า
สมมติสุนัข 10 ตัวกิน A มากกว่า B อยู่ 6 ตัว ถ้าเอาไปถามคนซัก 10 คน
ก็บอกคงบอกไม่เหมือนกันว่าอันไหนดีกว่า
อาจจะตัวอย่างน้อยไปหรืออะไรก็ตาม ดังนั้นจึงสร้างสถิติขึ้นมาทดสอบเหมือนวิธีตรวจสอบมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับ
ทำให้สามารถบอกได้ว่าผลการทดลองที่ได้นั้นเหมือนหรือต่างกันนั่นเอง
![]() |
รูปที่ 1 แสดงระดับแคลเซียม (บนสุด) ฟอสฟอรัส (กลาง) และ แมกนีเซียม (ล่างสุด) ที่แตกต่างระหว่างกระต่ายปกติ (สีเขียว) และการต่ายอุ้มท้องและให้นม (สีแดง) ในช่วงการผลิตที่แตกต่างกัน |
จากผลการทดลองเห็นชัดว่า ระดับของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในเลือดในช่วง
ก่อนคลอด คลอด หลังคลอด
ไปถึงช่วงอย่านม กระต่ายได้สูญเสียระดับแคลเซียมลงไปมากเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
แล้วกว่าจะกลับมาก็ใช้เวลานานเกือบ 70 วันหลังคลอด พบว่าถ้าระดับแคลเซียมอยู่ในช่วง
10-11 mg/dl
กระต่ายจะไม่แสดงอาการและสามารถกลับมาสู่ภาวะปกติได้
แต่ถ้ากระต่ายมีปริมาณเลือดต่ำเกินไปก็ทำให้มีอาการและเสียชีวิตได้ ดังนั้นการรักษาได้มาจากการทดลองในรูปที่ 2 โดยเป็นการวัดระดับแคลเซียมหลังการฉีดแคลเซียม 0.6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมเข้าสู่ช่องท้องกระต่าย โดยกระต่ายที่มีอาการทางคลินิกและมีระดับแคลเซียมต่ำมาก จากการช่วยเหลือดังกล่าวสามารถทำให้ระดับแคลเซียมอยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ที่ประมาณ 11 mg/dl ก็เป็นที่มาของคำแนะนำข้างต้นนะครับ
Talk:การจัดการฟาร์ม5
Talk:
การจัดการฟาร์ม 5 ตอนจบ (ตัวอย่าง ตอนที่2)
เราจะวิเคราะห์ต่อกันครับ จากตอนก่อนเรามาดูอีกฝั่งนึงคือ จำนวนคอก/แม่/ปี ซึ่งควรได้ประมาณ 4-5 คอกต่อปี แต่กลับได้เพียง 1.6 สิ่งที่ผมจะไปตรวจในขนาดฝูงแม่ คือ ลำดับท้องของแม่ และการทดแทน เพราะบางทีช่วงปีนี้อาจมีการทดแทนแม่มากกว่าปกติทำให้แม่ท้องแรกมีปริมาณมากก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขเลยคืออัตราผสมติดที่คล้ายกับเหมือนว่า การผสมติด หรือไม่ติดนั้นสลับกับไปมาซึ่งเป็นค่าที่ไม่ดีอย่างมาก การผสมไม่ติดนั้นเกีดมาจากสามทางคือ พ่อ แม่ และวิธีการ จากข้อมูลดังกล่าวผมจะไปสืบดูว่าผสมอย่างไรถูกต้องหรือไม่ ตามสายพ่อแต่ละตัวไปว่าประสิทธิภาพมีพ่อตัวไหนถ่วงอยู่หรือเปล่า และสุดท้ายค่อยดูแม่ว่า แม่กลุ่มที่มีปัญหาเป็นแม่กลุ่มไหนกันแน่
โดยการวิเคราะห์ผมมักจะนำช่วงเวลามาวิเคราะห์ด้วย
เพื่อทราบว่ามีช่วงเวลาไหนที่ส่งผลกระทบต่อการวิเคราะห์แบบรายปีหรือไม่ซึ่งผมลองดูในส่วนของจำนวนครั้งที่มีการผสมติดและคลอดลูก
ต่อเดือนนำมาเป็นกราฟได้ดังกราฟที่ 1
จากการดูกราฟทุกคนคงเห็นว่ามันต้องมีปัญหาอะไรอย่างแน่นอนในช่วงกลางปี ซึ่งคำตอบนั้นก็เป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์ประจำฟาร์ม และเจ้าของฟาร์มในการหาปัญหา
และช่วยกันแก้ไขต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในปีต่อๆไป
สำหรับการวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของฟาร์มต้องการตัดสินใจอะไร
อย่างในฟาร์มนี้ผมขอยกตัวอย่างการคัดทิ้งแม่ผสมติดยากซ้ำซาก
เนื่องจากฟาร์มนี้มีแม่เยอะแต่ไม่มีประสิทธิภาพ
เลขอยากดูความสามารถแม่แต่ละตัวว่าแม่ตัวไหนให้ท้องปีละกีครั้ง
ในภาพรวมของฟาร์มสามารถทำเป็นกราฟได้ดังกราฟที่ 2
จากกราฟที่
2 ชัดเจนว่าแม่ส่วนมากออกลูกต่อปีแค่คอกเดียว
ดังนั้นเราต้องค้นหาปัญหา
และแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด้วยว่าปัญหาอยู่ที่อะไรกันแน่
การที่ผสมไม่ติดซ้ำซาก ลองดูอีกตัวอย่างคือการดูศักยภาพพ่อพันธุ์ที่ผสมติดว่าตัวไหนดี
ตัวไหนควรคัดทิ้ง เราสามารถนำมาสร้างกราฟได้ดังกราฟที่
3
จากกราฟเราก็สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเก็บหรือปลดพ่อตัวไหนออกจากฝูง
จากตัวอย่างข้างต้นคณะผู้วิจัยหวังว่าเจ้าของฟาร์มจะมองเห็นประโยชน์ของการเก็บข้อมูลในฟาร์มมากขึ้น
และความสามารถของการวิเคราะห์ดังกล่าวสามารถทำได้มากกว่านี้
โดยในขณะนี้อยากให้ใช้ข้อมูลพื้นฐานก่อน
ถ้าเราสามารถใช้ได้ดีเราจะสามารถขยับไปใช้ข้อมูลในส่วนอื่นได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
บทส่งท้าย
ถ้าการเก็บข้อมูลครบถ้วนถูกต้องการวิเคราะห์เป็นเรื่องง่ายดายจนเจ้าของฟาร์มสามารถทำเองได้
และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที สิ่งที่ผมจะไปศึกษาต่อนั้นเป็น ทั้งด้านการจัดการ
อาหาร โรค หรือพูดง่ายๆคือ เราจะทำฟาร์มกระต่าย 1000 แม่
ได้อย่างไร
แต่เรื่องต่างๆก็เป็นเรื่องยาก
และต้องใช้เวลา ร่วมทั้งความร่วมมืออันดีระหว่างเจ้าของฟาร์มกระต่าย
โดยทุกครั้งที่ผมเก็บข้อมูลผมถือว่าเรามีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน
เพื่อพัฒนาวงการกระต่ายในดำเนินไปข้างหน้าต่อไป
_______________________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้
บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ
การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม
ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน
โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด
Talk: การทดลองในฟาร์มตนเอง
Talk: การทดลองในฟาร์มด้วยตนเอง
Farm
experiment by myself
หลังจากหายไปนาน
เนื่องจากกำลังยุ่งกับการทำงานวิจัยที่มหาลัย
สองสัปดาห์ก่อนผมได้เสร็จการทดลองในกระต่ายเรียบร้อย
ทำให้ตอนนี้เหลือแต่งานในห้องทดลอง และการเขียนบทความทางวิชาการ ถ้าผมได้ผลการทดลองอย่างไรก็คงเอามาเผยแพร่ในบอร์ดนี้ก็แล้วกันนะครับ
ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้รับเจอเหตุการณ์ในลักษณะดังต่อไปนี้หรือไม่
มีบริษัทมาที่ฟาร์มของท่านแล้วบอกว่าถ้าให้สารเร่งโตของบริษัทให้กระต่ายกินแล้วกระต่ายจะโตไว
ตายน้อย ออกลูกดก หรือ มีอาหารสูตรใหม่ออกมา แล้วเพื่อนของท่านหรือคนรู้จักบอกว่าอาหารนี้มันดีกว่าอันก่อน
ซึ่งเมื่อสืบสาวหาเหตุผลว่าทำไม บริษัท หรือผู้ที่แนะนำก็อาจจะตอบว่า
ได้มีการทดลองพิสูจน์มาแล้วจากสถาบันวิจัยที่เชื่อถือได้
หรือเขาได้ทดลองใช้แล้วมันดีจึงบอกต่อ คำถามที่น่าสนใจหลังจากการได้รับคำตอบในลักษณะนี้ก็คือ
“การทดลองคืออะไร” “มันจะมีความถูกต้องขนาดไหน”
และ “ถ้าเรายอมเสียเงินเพิ่ม
หรือเสี่ยงที่จะใช้สินค้าใหม่ ผลที่ได้มันจะคุ้มค่าหรือไม่” ในบทความนี้ผมจะพยายามตอบคำถามเหล่านี้
รวมทั้งเสนอแนวทางการทดลองในฟาร์มของตัวเอง
ในขณะนี้ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านมีคำถามในใจรึเปล่าว่า “ทำไมเราต้องทดลองเองในฟาร์มด้วย
ทั้งๆที่บริษัทก็ได้ทดลองมาให้แล้วว่ามีผลการทดลองเป็นอย่างไร” คำถามนี้ก็จะได้ตอบในบทความนี้เช่นเดียวกันครับ
การทดลอง (Experiment)
คือ วิธีการยืนยัน องค์ความรู้ใหม่ว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร ซึ่งความรู้ดังกล่าวอาจจะมาจากการสังเกตุ
ประสบการณ์ หรือความรู้พื้นฐานจากในอดีต
เนื่องจากนักวิจัยจะเริ่มจากการศึกษาหาความรู้ในอดีตแล้วมาคิดวิเคราะห์ ประยุกต์
รวบรวมกับประสบการณ์ของนักวิจัย จากนั้นก็จะตั้งสมมติฐาน
จากนั้นก็จะออกแบบการทดลองเพื่อยืนยันองค์ความรู้ใหม่ๆดังกล่าว ผมอาจยกตัวอย่างการทดลองง่ายๆให้เข้าใจดังเช่น
มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งสังเกตว่าแม่กระต่ายที่อ้วนมักจะผสมไม่ค่อยติด ถึงจะผสมติดก็ให้ลูกน้อย
แต่ในกระต่ายที่หุ่นดีไม่อ้วนไม่ผอมเกินไปกลับผสมติดได้ง่าย ให้ลูกต่อคอกเยอะ
หลังจากนั้นนักวิจัยก็ไปอ่านหนังสือ และวารสารเพิ่มเติม แล้วพบว่าในสุกร และโค
ได้มีการวิจัยมาแล้วว่าถ้าแม่อ้วนเกินไปย่อมส่งผลให้อัตราการผสมติด
และจำนวนลูกต่อคอกลดลง ดังนั้นนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า
ความอ้วนในแม่กระต่ายมีผลต่ออัตราการผสมติด และจำนวนลูกต่อคอกหรือไม่ จากนั้นก็ออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าว
เห็นไหมครับ ว่าความรู้ดังกล่าวเป็นองค์ความรู้ใหม่ แต่ก็มีหลักฐานด้านความรู้ และการสังเกตมาประกอบ
จากนั้นจึงทำการทดลองเพื่อพิสูจน์หลักการดังกล่าวว่าถูกต้องหรือไม่
ทุกครั้งที่มีใครบอกอะไรแก่เรา
เรามักคิดเสมอว่ามันถูกต้องหรือไม่ เชื่อถือได้แค่ไหน แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร
ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับการทดลองนั้นเอง
ว่าผลการทดลองที่เราอ่านอยู่มันถูกต้องเชื่อถือได้ขนาดไหน
ความน่าเชื่อถือเกิดมาจากสองอย่างคือ จรรยาบรรณนักวิจัย และการออกแบบการทดลอง
สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากๆเลยคือ ข้อแรก (จรรยาบรรณนักวิจัย)
เนื่องจากถ้านักวิจัยเล่นนั่งเทียนเขียนผลการทดลอง
หรือดัดแปลงข้อมูลให้เกิดความบิดเบือน ผลการทดลองนับว่าไร้ค่าทั้งที
การป้องกันตรงนี้ในฐานะผู้อ่านก็คือความเชื่อใจ
เพราะเวลาผมอ่านวารสารตีพิมพ์ผมมักจะจำชื่อนักวิจัยที่เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ แล้วบางครั้งที่มีการสัมมนาวิชาการผมก็ได้โอกาสเข้าไปพูดคุยปรึกษาทำให้ทราบว่านักวิจัยกลุ่มดังกล่าวมีจรรยาบรรณที่ดีในการทดลอง
อีกข้อคือการออกแบบการทดลองในส่วนนี้ผมจะไม่ได้กล่าวโดยละเอียด
แต่ถ้านักวิจัยดำเนินการวางแผนการทดลองตามทฤษฎีแล้วย่อมไม่มีปัญหาในการเอนเอียง
หรือการทดลองผิดพลาด เพราะนักวิจัยทุกคนย่อมต้องใช้ สถิติ ซึ่งเครื่องมือที่จะบอกว่าต้องใช้สัตว์ทดลองเท่าไหร่
เลือกอย่างไร แล้วยังบอกว่าผลการทดลองได้ผลหรือไม่ เนื่องจากการแปลผลด้วยคน
คนละกลุ่ม อาจจะแปลผลไม่เหมือนกัน จึงมีการคิดวิธีการทางสถิติ
เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน ดังเช่น มีกระต่ายอยู่ 2 ตัว
ถามคน 10 คนว่ากระต่ายตัวไหนหนักกว่ากัน
คำตอบที่ได้มาย่อมแตกต่างกันไปตามความสามารถหรือประสบการณ์ของแต่ละคน
ดังนั้นถ้าเราใช้เครื่องชั่งน้ำหนักเราก็จะทราบอย่างแน่นอนว่ากระต่ายตัวไหนหนักกว่ากัน
จากตัวอย่างนี้กระต่ายสองตัวเหมือนสัตว์ทดลองที่ให้อาหารต่างกัน
แล้วอยากรู้ว่าอันไหนดีกว่า จากนักวิจัยหลายๆกลุ่มอาจบอกไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเราใช้เครื่องชั่งน้ำหนักซึ่งเปรียบเหมือนสถิติซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ทุกคนยอมรับ
และมีความถูกต้อง ไม่ว่าทดลองที่ไหน กับใคร
เมื่อเราอ่านผลเราก็เชื่อว่าเป็นจริงดังที่ได้กล่าวไว้
การเปลี่ยนแปลงใดๆในฟาร์มย่อมถือว่าเป็น
“ความเสี่ยง” ดังเช่น
การเปลี่ยนอาหารชนิดใหม่ทั้งฟาร์ม กระต่ายอาจจะมีอัตราการตายเพิ่มขึ้น หรือ
กระต่ายอาจจะโตไวขึ้นก็ได้ ดังนั้น การควบคุมความเสี่ยง (Risk management) จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำการศึกษาและปฎิบัติ การทดลองก็เป็นทางหนึ่งของการควบคุมความเสี่ยง
เนื่องจากเราไม่ได้ให้กระต่ายทั้งฟาร์มใช้อาหารใหม่
แต่เราทดลองในกลุ่มกระต่ายที่เล็กกว่าเปรียบเทียบกับกระต่ายในฟาร์มที่กินอาหารเดิม
แล้วคิดวิเคราะห์ว่าผลการทดลองเป็นอย่างไร จากนั้นก็จะตอบคำถามได้ว่าจะรับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาใช้ในฟาร์มหรือไม่
จริงๆแล้วการทดลองอาจจะเป็นได้ทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องอาหารอย่างเดียว
ซึ่งทุกครั้งที่ผมคุยกับเจ้าของฟาร์มกระต่าย
ผมได้เห็นว่าทุกคนได้ทำการทดลองมาแล้วทั้งนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว ผมยกตัวอย่างง่ายๆเลย
เมื่อกระต่ายคลอดลูกกี่วันถึงจะผสมรอบใหม่
ผมเชื่อว่าทุกฟาร์มถ้ามีพ่อแม่พันธุ์ย่อมต้องลองมาแล้ว
เนื่องจากในต่างประเทศที่ผมศึกษาอยู่ เราสามารถผสมได้ตั้งแต่ 0, 7, 14 และ 21 วันหลังคลอด ซึ่งอัตราการผสมติด
จำนวนลูกที่ได้มีการทดลองมามากมาย ซึ่งก็แน่นอนว่าประเทศไทยย่อมแตกต่างกัน
ในจุดนี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมต้องทำการทดลองในฟาร์มของตัวเอง
สำหรับคำถามสุดท้าย “ทำไมต้องทำการทดลองในฟาร์มของตัวเอง” เนื่องจากการทดลองส่วนมากมักทำการศึกษาในต่างประเทศทำให้สภาพแวดล้อม
อาหาร สายพันธุ์ การจัดการ หรือปัจจัยอื่นๆย่อมแตกต่างกันไป
ซึ่งเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกับการทดลองผลจะแตกต่างหรือไม่
อย่างไรก็ตามการออกแบบการทดลองที่ดีย่อมมีหลักการที่จะควบคุมให้เหมือนกัน ต่างที่
ต่างเวลา ย่อมมีความเสี่ยงที่ผลการทดลองแตกต่างกันได้ ดังนั้นความแตกต่างระหว่างสิ่งแวดล้อมย่อมควบคุมได้จากการทดลองในฟาร์มของตนเอง
แล้วยังเป็นการยืนยันมาใช้ได้จริงในฟาร์มของเราหรือไม่ ดังนั้นการออกแบบการทดลองต้องยึดกฎสามข้อคือ
1. สัตว์ทดลองต้องเริ่มต้นเหมือนกัน 2.
จำนวนสัตว์ทดลองต้องมีมากเพียงพอ 3.
ต้องควบคุมทุกอย่างให้เหมือนกันยกเว้น สิ่งที่ต้องการทดลองเพียงอย่างเดียว
ถ้าท่านผู้อ่านต้องการทดลองสามารถบอกผ่าน blog นี้ได้ ผมจะพยายามตอบให้ครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีการเก็บข้อมูลของฟาร์มเป็นอย่างดี
ก็สามารถนำมาให้ผมวิเคราะห์ได้ครับ
_____________________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้
บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ
การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม
ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน
โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
Talk:ไข้น้ำนม3
Talk: ไข้น้ำนมในกระต่าย 3 (หลักการ)
ฟอสฟอรัส
ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก และการเผาผลาญพลังงาน
ในกระต่ายเด็กจะสามารถดูดซึมฟอสฟอรัสได้ดีกว่าในกระต่ายโตเนื่องจากต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่า
ฟอสฟอรัสที่ดูดซึมจากลำไส้เล็กส่วนต้น และส่วนกลาง
ฟอสฟอรัสในอาหารของกระต่ายจะอยู่ในรูปของ
Phytate phosphorus ซึ่งเอนไซม์จากกระต่ายไม่สามารถย่อยฟอสฟอรัสออกมาใช้งานได้
แต่สามารถย่อยด้วย Phytase
จากแบคธีเรียในซีกั่ม (Caecum) ได้ ซึ่งฟอสฟอรัสที่ย่อยแล้วจะออกมากับอุจจาระกลางคืนและจะถูกกระต่ายกินกลับเข้าไปเพื่อนำฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย
นอกจากนี้ยังพบ Phytase ในข้าวสาลี ดังนั้นถ้าผสมข้าวสาลีในอาหาร
กระต่ายก็สามารถนำฟอสฟอรัสได้ทันทีไม่ต้องรอการย่อยจากแบคธีเรีย
สัดส่วนของแคลเซียม
และฟอสฟอรัสมีความสำคัญมากโดยสัดส่วนที่ดีที่สุดคือ แคลเซียม:ฟอสฟอรัส=2:1 การที่แคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มากหรือน้อยเกินไปจะส่งผลให้มีความผิดปกติต่อร่างกาย
แมกนีเซียมส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในกระดูกร้อยละ
70 ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยปฎิกิริยาต่างๆ
(Cofactor) การขาดแมกนีเซียมส่งผลให้ การเจริญเติบโตที่ช้า ขนร่วง ขนไม่มันเงางาม
และมีพฤติกรรมกินขนตัวเอง กระต่ายควรได้รับปริมาณแมกนีเซียมในช่วง 0.3-3
กรัมต่อกิโลกรัม โดยปกติมักให้ในขนาด 1.7 กรัมต่อกิโลกรัม
แมกนีเซียมที่เกินความจำเป็นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ
ฮอร์โมนพาราไทรอยด์
(PTH) จะสามารถทำงานได้ต้องประกอบไปด้วยแมกนีเซียมและความเป็นกรดด่างที่พอเหมาะ
(ดังรูปที่ 2) รูปซ้ายสุดหรือหมายเลขหนึ่ง
เมื่อระดับความเป็นกรดด่างพอเหมาะและมีแมกนีเซียมมากเพียงพอสามารถทำให้ PTH
สามารถทำงานได้ ในรูปกลางหรือหมายเลขสอง
มีความเป็นกรดด่างเปลี่ยนไปส่งผลให้ตัวรับ (Receptor) มีการเปลี่ยนรูปไปเนื่องจากตัวรับคือโปรตีนที่เปลี่ยนแปลงตามความเป็นกรดด่างจึงไม่สามารถทำงานได้
เนื่องจากการทำงานของฮอร์โมนใช้ทฤษฎี Lock and key (ทฤษฏีแม่กุญแจ
กับลูกกุญแจ)
คือต้องมีรูปร่างที่สามารถเข้ากันได้อย่างพอดีถึงจะทำให้มีกลไกทำงานต่อไปได้
เปรียบเสมือนแม่กุญแจ กับลูกกุญแจ รูปทางขวาหรือรูปที่3
มีปริมาณของแมกนีเซียมในเลือดน้อยกว่าปกติ เนื่องจาก Adenyl
cyclase complex (ตัวสีฟ้าด้านล่าง) ต้องการแมกนีเซียมมาเป็นตัวช่วย
(Coenzyme) ในการทำงานต่อไป
เมื่อแมกนีเซียมไม่เพียงพอก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้นั่นเอง
ปกติแมกนีเซียมสามารถพบในพืชอาหารสัตว์
แต่ในบางกรณีที่พืชดังกล่าวปลูกในดินที่มีแมกนีเซียมต่ำ
ส่งผลให้พืชในพื้นที่ดังกล่าวเก็บแมกนีเซียมไว้ในปริมาณน้อยกว่าปกติ
แล้วส่งผลให้สัตว์ที่กินพืชดังกล่าวได้รับแมกนีเซียมในระดับที่ไม่เพียงพอ
รูปที่ 2 แสดงการทำงานของฮอร์โมนพาราไทรอยด์
(PTH) ในสภาวะแตกต่างกัน
ในบทความต่อไปจะกล่าวถึงงานวิจัยว่ากระต่ายระดับแคลเซียมในระยะท้อง
ให้นมลูก และภาวะปกติ มีความแตกต่างอย่างไร
________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้
บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ
การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม
ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด
Talk:ไข้น้ำนม2
Talk:
ไข้น้ำนมในกระต่าย
2 (หลักการ)
ในส่วนนี้ผมจะพูดถึงหลักการนะครับ
ก่อนอื่นเราควรรู้จักกับแคลเซียมและแร่ธาตุที่มีความเกี่ยวโยงกับแคลเซียม
ซึ่งก็คือ ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม
แคลเซียม
เป็นแร่ธาตุที่มากกว่าร้อยละ 98
สะสมอยู่ในกระดูกและฟันซึ่งในส่วนนี้ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุน
ซึ่งฟันกระต่ายยาวประมาณ 2 มิลลิเมตรต่อสัปดาห์จึงต้องการแคลเซียมเป็นอย่างมาก
อีกร้อยละ 2 จะอยู่ในกระแสเลือดซึ่งทำหน้า ที่เกี่ยวกับ
การทำงานของหัวใจ การหดตัวของกล้ามเนื้อ การแข็งตัวของเลือด
รักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลท์ การทำงานของเซลล์ประสาท การทำงานของฮอร์โมน
ทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง และเป็นส่วนประกอบในน้ำนม
กระต่ายเป็นสัตว์ที่มีปริมาณแคลเซียมในน้ำนมและในเลือดสูงกว่าสัตว์ชนิดอื่น
(ตารางที่ 1) ซึ่งสาเหตุก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้
โดยระดับแคลเซียมในน้ำนมจะสูงกว่าสัตว์อื่นประมาณ 2 เท่า ดังนั้นในกระต่ายให้นมลูกจึงเสียแคลเซียมจากร่างกายมาก
ปริมาณอาหารที่ระดับแคลเซียมสูง
จะส่งผลต่อระดับของแคลเซียมในกระแสเลือดโดยตรง
ตารางที่
1 แสดงการเปรียบเทียบระดับแร่ธาตุในน้ำนมของ โค แกะ สุกร และกระต่ายปกติ
แร่ธาตุ
|
โคนม
|
แกะ
|
สุกร
|
กระต่าย
|
โซเดียม
|
0.45
|
0.45
|
0.5
|
0.96
|
โพแทสเซียม
|
1.5
|
1.25
|
0.84
|
1.86
|
แคลเซียม
|
1.2
|
1.9
|
2.2
|
4.61
|
แมกนีเซียม
|
0.12
|
0.15
|
-
|
0.27
|
ฟอสฟอรัส
|
1.9
|
1.5
|
1.6
|
2.78
|
คลอไรด์
|
1.1
|
1.2
|
-
|
0.66
|
ดัดแปลงมาจาก
Guegen
et al., 1988; Partridge and Gill, 1993; El-Sayiad et al., 1994; Maertens et
al., 2006
การดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เล็กสามารถผ่านทาง
Acive
vitamin D dependent transcellular transport ซึ่งต้องใช้พลังงานและวิตามินดีถึงจะทำงานได้
และอีกทางคือ Passive paracellular diffusion ที่ไม่ต้องใช้พลังงานหรือวิตามินดี
โดยใช้ความแตกต่างของความเข้มข้นของแคลเซียมระหว่างในทางเดินอาหารกับในระบบเลือด
ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นทางหลักในการดูดซึมแคลเซียมในกระต่าย การดูดซึมถูกขัดขวางจากอาหารที่มี
Phytate (ดังเช่น ถั่ว ธัญพืช),
Oxalate (ดังเช่น ผักขม อัลฟาฟ่า), Acetates เป็นส่วนประกอบเนื่องจากจะจับกับแคลเซียมทำให้ไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย
พืชชนิดอื่นที่มีแคลเซียมสูงแต่มีออกซาเลตต่ำดังเช่น บล็อคโคลี่ เป็นต้น
รวมทั้งยาเพนนิซิลลิน และคลอแรมฟีนิคอลก็สามารถจับกับแคลเซียมได้
กลไกการรักษาสมดุลของแคลเซียมในมีแคลเซียมอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณปกติมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
การรักษาสมดุลของแคลเซียมเป็นดังนี้ (รูปที่1)
เมื่อร่างกายมีระดับแคลเซียมในเลือดลดลงจะมีการกระตุ้นให้ต่อมพาราไทรอยด์หลั่ง Parathyroid
hormone (PTH) ออกมาจะกระตุ้นให้มีการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกมากขึ้น
และให้ไตดูดแคลเซียมกลับขับฟอสฟอรัสออกมากขึ้น
โดยผลทั้งสองอย่างทำให้ระดับแคลเซียมในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนั้นวิตามินดียังช่วยให้มีการดูดซึ่งแคลเซียมมากขึ้นโดยวิตามินดีมากจาก 7-dehydrocholesterol
ที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังเมื่อโดนแสงแดดก็จะกลายเป็นวิตามินดีที่ยังใช้งานไม่ได้
และวิตามินดีที่ใช้งานไม่ได้ก็สามารถมาจากอาหารได้
จากนั้นจะถูกขนส่งสู่ตับโดยจะเปลี่ยนเป็น 25(OH)D ด้วยเอนไซม์
25-hydroxylase จากนั้นไปยังไตเพื่อเปลี่ยนเป็น 1,25(OH)2D ด้วยเอนไซม์ 1-hydrosylase
ซึ่งจะทำงานก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้นด้วย PTH สาร 1,25(OH)2D
เป็นรูปทำงานของวิตามินดีซึ่งจะไปที่ลำไส้เล็กทำให้สามารถดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้น
จากนั้นร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะสมดุล
รูปที่ 1 แสดงการรักษาสมดุลแคลเซียมเมื่อมีระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง
ในกรณีที่แคลเซียมในเลือดสูงขึ้นจะกระตุ้นให้
C-cell ของต่อมไทรอยด์หลั่งฮอร์โมนแคลซิโทนินซึ่งส่งผลให้มีการนำแคลเซียมไปเก็บในกระดูกมากขึ้น
เพิ่มการขับแคลเซียมออกทางไต ลดการดูดซึมแคลเซียมในทางเดินอาหาร
ซึ่งส่งผลให้ระดับแคลเซียมในกระแสเลือดลดลงจนกลับมาสู่สมดุล ทางหลักในการขับแคลเซียมออกจากร่างกายคือ
ปัสสาวะ ในรูปของแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเรามักพบว่าปัสสาวะกระต่ายมีสีขาวขุ่น
เป็นตะกอน และเมื่อกินอาหารที่มีระดับแคลเซียมสูงดังเช่น อัลฟาฟ่า แครอท เป็นต้น
ปัสสาวะกระต่ายก็จะมีสีขาวขุ่นมากขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งถ้าระดับแคลเซียมมากเกินไปแคลเซียมจะถูกขับมาทางอุจจาระด้วย
ระดับแคลเซียมในเลือดที่มากกว่า 40g/kgBW เป็นระยะเวลานานส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว
(Urolithiasis) หรือ การสะสมแคลเซียมในเนื้อเยื่อ (Calcification of soft tissue) ดังนั้นระดับแคลเซียมที่เหมาะสมในกระต่ายเลี้ยงคือ ประมาณร้อยละ 0.6-1
ต่ออาหารทั้งหมด
รูปที่ 1 แสดงการรักษาสมดุลแคลเซียมเมื่อมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงขึ้น
ดังนั้นฮอร์โมนพาราไทรอยด์จึงมีความสำคัญในการทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงมากเพียงพอต่อการดำรงชีวิต
ในบทความต่อไปผมจะพูดถึงฟอสฟอรัส และแมกนีเซียมครับ
________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้
บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ
การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม
ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน
โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555
Talk:กระต่ายคอเอียง4
Talk:
กระต่ายคอเอียง
ตอนที่
4 (แนวทางในอนาคต
ตอนจบ)
ในที่สุดก็มาถึงตอนจบซักที
เข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ ผมจะให้คำแนะนำในแต่ละกรณีกันไปนะครับ
เผื่อจะเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้
1. กรณีเจ้าของฟาร์มปลอดโรค
สิ่งแรกที่ต้องรู้เลยว่าฟาร์มปลอดโรคจริงหรือไม่
ก่อนอื่นเลยเพื่อประหยัดต้นทุนเราจะตรวจหาแอนติบอดี้ในฟาร์มก่อน โดยวิธีการสุ่ม
หรือทั้งหมดก็แล้วแต่ฟาร์ม ถ้าให้ผลลบนับว่าโชคดีสุดๆ
ที่เหลือก็แค่การป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามา
แต่ถ้าให้ผลบวกก็ดูกันเลยครับว่าเชื้ออยู่ที่ตัวไหนด้วยการตรวจหาตัวเชื้อ
ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในข้อ 2 สำหรับฟาร์มที่ไม่มีเชื้อนั้น
ต้องป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามาครับ สามารถทำโดยกักโรคควรนานเกิน 2 เดือน
แล้วตรวจหาแอนติบอดี้ว่ากระต่ายที่รับเข้ามามีเชื้อหรือไม่
รวมทั้งสามาถตรวจหาตัวเชื้อร่วมด้วย
2. กรณีเจ้าของฟาร์มมีโรค
แนะนำให้ยาทั้งฟาร์มครับ เนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อไปได้ทั้งฟาร์ม
แต่อย่างไรก็ตามอยู่ที่ว่าผลบวกที่เกิดขึ้นนั้นได้จากการตรวจหา ตัวเชื้อ
หรือแอนติบอดี้ ถ้าเป็นการตรวจหาตัวเชื้อก็บอกได้แน่นอนครับว่ามีเชื้อแน่ๆ
แต่ถ้าผลตรวจพบแอนติบอดี้ก็ไม่แน่ว่ากระต่ายตัวนั้นอาจมีเชื้ออยู่
หรือเป็นกระต่ายที่สามารถต่อสู้กับเชื้อได้ ทำให้มีสองหลักการที่ใช้ในต่างประเทศดังนี้
2.1 จากรายงานจากประเทศไต้หวัน
อันนี้จะออกแนวทำลายแต่โรคหยุดไว สามารถสร้างฟาร์มปลอด โรคได้อย่างรวดเร็ว หลักการคือตรวจเลือดกระต่ายทุกตัวด้วยการตรวจหาแอนติบอดี้
ตัวไหนมีบวกก็คัดทิ้งทันที จากรายงานใช้เวลาประมาณ 45 วันก็สามารถเป็นฟาร์มปลอดโรค
จากนั้นเราก็กักโรคโดยตรวจหาแอนติบอดี้อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ข้อดีคือโรคหยุดไว
ข้อเสีย กระต่ายโดนปลดทิ้งเยอะ
บางที่กระต่ายที่เราปลดไปอาจจะเป็นกระต่ายที่สามารถต่อสู้กับเชื้อก็ได้
และถ้ามีเชื้อเล็ดลอดเข้ามาในฟาร์มอีก ความเสียหายที่เกิดค่อนข้างรุนแรงมาก
2.2 อีกฝั่งประเทศไทยก็ออกทฤษฎีมาว่า
เย้ย!!! ที่ไทยออกกับเค้าด้วยเหรอ ขอโทษทีครับไม่ใช่ของไทยหรอก
จากที่ผมทำงานวิจัยเรื่องนี้ก็พยายามหาทางแก้ไข
อันนี้เป็นทฤษฎีที่ผมคิดขึ้นมาเองครับ ถ้าใครมีความคิดว่าตรงไหนผมคิดไม่ถูกต้อง
บอกกันได้นะครับ จะได้เป็นการแบ่งประสบการณ์กัน
เพราะผมก็ไม่ได้บอกว่าวิธีของผมเป็นวิธีที่ถูกต้อง เนื่องจากผมก็ยังไม่เคยทำการทดลองพิสูจน์
หลักการที่ว่าผมคิดจากถ้าผมสั่งให้ทำลายการต่ายมากมายขนาดนั้นเจ้าของฟาร์มต้องไม่พอใจ
และเสียเงินเป็นอย่างมาก
ซึ่งจากที่ผมเก็บตัวอย่างผมว่าหลายที่ในประเทศของเราก็มีเชื้ออยู่แล้ว
พูดง่ายๆก็คือหนีไปไหนไม่รอด ดังนั้นผมจึงคิดว่า เราต้องอยู่กับมันให้ได้ เราจะอยู่กับมันได้ไง
หลักการก็คือ เชื้อนี้คือเชื้อฉวยโอกาส หมายความว่า
ถ้าร่างกายสัตว์แข็งแรงร่างกายเราก็สามารถทำลายเชื้อนี้ได้ครับ
แต่การจัดการเรื่องสุขภาพต้องดีมาก เพราะปัญหาของประเทศเราคือ ฤดูร้อน และปลายฝนต้นหนาว
ตอนนี้ภูมิคุ้มกันแย่แน่นอนจัดการยากมาก และเป็นช่วงที่เชื้อสามารถแสดงฤทธิ์ออกมากได้
ดังนั้นผมเสนอวิธีการเป็นข้อๆดังนี้ครับ
2.2.1 คัดทิ้งกระต่ายที่แสดงอาการ
เนื่องจากกระต่ายกลุ่มนี้ถือว่าไม่สามารถต่อสู้กับโรคได้
และยังจะแพร่เชื้อต่อไปอีก ถึงจะรักษาให้หายการให้ผลผลิตก็ไม่ดีเท่าเดิม
2.2.2 ให้ยาแก่กระต่ายก่อนภูมิคุ้มกันจะตก
ถ้าเราคิดนะครับ ถ้าผมมีกระต่ายอยู่ 100 ตัว สมมติติดเชื้อเรียบร้อยไปแล้ว 40
ตัว แสดงอาการ 5 ตัว ดังนั้นผมคัดทิ้งออกไปเหลือ
35 ตัวที่มีเชื้อ แต่ปัญหาคือ ในความจริงแล้วตาเราจะเห็นแค่
กระต่ายป่วย 5 ตัว ปกติ 95 ตัว
ซึ่งตัวปัญหาที่ไม่แสดงอาการ 35 ตัวเนี่ยแหล่ะครับ
ที่เราต้องจัดการ อย่างที่กล่าวไปเชื้อนี้เป็นเชื้อฉวยโอกาส ถ้าเราเลี้ยงดี
สภาพอากาศดี เชื้อที่อยู่ในกระต่ายที่มีเชื้อจะออกมาน้อยมาก
แต่เมื่อในช่วงอากาศไม่ดีอย่างที่ผมได้กล่าวไปกระต่ายที่มีเชื้ออยู่จัดหนัก
พ่นเชื้อออกมาทำให้กระต่ายปกติติดเชื้อได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงไป
ดังนั้นแก้ไขก็คือการให้ยากระต่ายทั้งฟาร์ม ยาจะทำให้กระต่ายที่พ่นเชื้อไม่พ่นเชื้อ
และกระต่ายปกติก็ได้รับการป้องกัน
ตอนนี้บางคนอาจบอกว่าแล้วเชื้อที่ออกมาเล็กน้อยตอนที่สภาพอากาศดี
และเราไม่ได้ให้ยาเราจะทำยังไง จุดที่สำคัญมากที่จะสร้างกระต่ายเทพ
คือกระต่ายที่ทนทานต่อเชื้อตัวนี้ มันจะเกิดขึ้นโดยที่กระต่ายปกติได้รับเชื้อในปริมาณน้อยในขณะที่ร่างกายแข็งแกร่ง
ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะจัดการเชื้อได้ ซึ่งได้มีการยืนยันจากงานทดลองแล้ว
ภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ได้มีแค่คนทำลายเท่านั้น
ยังมีกลุ่มเซลล์ที่จะสามารถจดจำเชื้อ (Memory cell) เมื่อเจอเชื้ออีกครั้งก็สามารถกระตุ้นภูมิและต่อสู้กับเชื้อได้รวดเร็วกว่าครั้งแรก
ซึ่งในเชื้ออื่นๆพบว่าร่างกายมีการตอบสนองดังกล่าว
ซึ่งน่าจะเป็นในทางเดียวกันกับเชื้อตัวนี้ แต่ก็ต้องรอการทดลองยืนยันต่อไป
เพราะฉะนั้นถ้าทฤษฎีที่ได้กล่าวไปได้รับการยืนยันจากการทดลอง
เราจะสามารถสร้างกระต่ายเทพ และอยู่กับโรคได้อย่างมีความสุข
แต่ก็ต้องรอการทดลองยืนยัน แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือใช้เวลาค่อนข้างนาน
แต่ก็ไม่ต้องใช้วิธีการตรวจที่ยุ่งยาก
3. กรณีสัตว์เลี้ยง จุดยากของการทำฟาร์มพ่อแม่พันธุ์แท้
กับสัตว์เลี้ยงคือการไม่มีคำว่า “คัดทิ้ง” แต่ไม่ต้องกลัวครับ ทุกอย่างมีทางออก อยากแรกรักษาเลยครับ
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น แล้วดูอาการกันไป
เพราะโรคนี้ถ้าได้รับการรักษาไม่ถึงตายถ้าเรารักษาทันท่วงที สำหรับการตรวจผมแนะนำการตรวจหาตัวเชื้อ
แต่ต้องรอวิธีตรวจที่กำลังพัฒนาอยู่ เนื่องจากเราต้องรู้ว่าเชื้อจะออกมากับปัสสาวะช่วงไหน
จะได้เก็บตัวอย่างได้ และต้องมีวิธีตรวจที่มีความแม่นยำมากเพียงพอ
สำหรับคนที่จะซื้อก็ต้องเตรียมใจด้วยครับ
อย่างที่บอกวิธีการตรวจในกระต่ายมีชีวิตยังไม่มีวิธีที่ดีพอ อย่างไรก็ตามสำหรับสัตว์เลี้ยงผมยังใช้หลักเดิมเสมอว่า
ไม่มีสัตว์ตัวไหนแทนกันได้
ถ้าผมได้ข้อมูลการรักษามากกว่านี้ผมจะรีบนำมาลงให้ทันทีครับ
หวังว่าคงได้รับความรู้มากขึ้นนะครับ
เนื่องจากเชื้อตัวนี้ก็ยังเป็นที่สนใจต่อนักวิจัยอยู่ในขณะนี้ ถ้ามีองค์ความรู้มากกว่านี้จะรีบเอามาลงให้
ส่วนตัวผมก็คงต้องหาทุนวิจัยทำต่อไปจนกว่าฟาร์มในไทยจะต่อสู้กับเชื้อตัวนี้ได้
สุดท้ายผมของฝากว่า ถ้ามีคนในบ้านมีภูมิคุ้มกันบกพร่องดังเช่น
เอดส์ ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ใช้ยามะเร็ง เป็นต้น ให้รีบนำกระต่ายที่สงสัยออกจากบ้าน
และติดต่อแพทย์ที่รักษาอยู่ เนื่องจากเชื้อสามารถติดคนกลุ่มดังกล่าวได้ ซึ่งคนปกติก็มีรายงานว่าติดเชื้อนี้ได้
ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องหาหลักฐานยืนยันกันต่อไปครับ
____________________________________________________________________________________________________________
ข้อมูลในเอกสารฉบับนี้รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ตามทีมงานไม่สามารถที่รับรองความถูกต้องของข้อมูลเหล่านี้ได้
บทความในเอกสารนี้จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากหลักวิชาการ และมิได้เป็นการชี้นำ
การตัดสินใจใดๆของผู้อ่าน ไม่ว่าเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม
ล้วนเป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน
โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือพันธะผูกพันใดกับทีมงานไม่ว่ากรณีใด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)