Talk: การทดลองในฟาร์มด้วยตนเอง
Farm
experiment by myself
หลังจากหายไปนาน
เนื่องจากกำลังยุ่งกับการทำงานวิจัยที่มหาลัย
สองสัปดาห์ก่อนผมได้เสร็จการทดลองในกระต่ายเรียบร้อย
ทำให้ตอนนี้เหลือแต่งานในห้องทดลอง และการเขียนบทความทางวิชาการ ถ้าผมได้ผลการทดลองอย่างไรก็คงเอามาเผยแพร่ในบอร์ดนี้ก็แล้วกันนะครับ
ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้รับเจอเหตุการณ์ในลักษณะดังต่อไปนี้หรือไม่
มีบริษัทมาที่ฟาร์มของท่านแล้วบอกว่าถ้าให้สารเร่งโตของบริษัทให้กระต่ายกินแล้วกระต่ายจะโตไว
ตายน้อย ออกลูกดก หรือ มีอาหารสูตรใหม่ออกมา แล้วเพื่อนของท่านหรือคนรู้จักบอกว่าอาหารนี้มันดีกว่าอันก่อน
ซึ่งเมื่อสืบสาวหาเหตุผลว่าทำไม บริษัท หรือผู้ที่แนะนำก็อาจจะตอบว่า
ได้มีการทดลองพิสูจน์มาแล้วจากสถาบันวิจัยที่เชื่อถือได้
หรือเขาได้ทดลองใช้แล้วมันดีจึงบอกต่อ คำถามที่น่าสนใจหลังจากการได้รับคำตอบในลักษณะนี้ก็คือ
“การทดลองคืออะไร” “มันจะมีความถูกต้องขนาดไหน”
และ “ถ้าเรายอมเสียเงินเพิ่ม
หรือเสี่ยงที่จะใช้สินค้าใหม่ ผลที่ได้มันจะคุ้มค่าหรือไม่” ในบทความนี้ผมจะพยายามตอบคำถามเหล่านี้
รวมทั้งเสนอแนวทางการทดลองในฟาร์มของตัวเอง
ในขณะนี้ผมไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านมีคำถามในใจรึเปล่าว่า “ทำไมเราต้องทดลองเองในฟาร์มด้วย
ทั้งๆที่บริษัทก็ได้ทดลองมาให้แล้วว่ามีผลการทดลองเป็นอย่างไร” คำถามนี้ก็จะได้ตอบในบทความนี้เช่นเดียวกันครับ
การทดลอง (Experiment)
คือ วิธีการยืนยัน องค์ความรู้ใหม่ว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร ซึ่งความรู้ดังกล่าวอาจจะมาจากการสังเกตุ
ประสบการณ์ หรือความรู้พื้นฐานจากในอดีต
เนื่องจากนักวิจัยจะเริ่มจากการศึกษาหาความรู้ในอดีตแล้วมาคิดวิเคราะห์ ประยุกต์
รวบรวมกับประสบการณ์ของนักวิจัย จากนั้นก็จะตั้งสมมติฐาน
จากนั้นก็จะออกแบบการทดลองเพื่อยืนยันองค์ความรู้ใหม่ๆดังกล่าว ผมอาจยกตัวอย่างการทดลองง่ายๆให้เข้าใจดังเช่น
มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งสังเกตว่าแม่กระต่ายที่อ้วนมักจะผสมไม่ค่อยติด ถึงจะผสมติดก็ให้ลูกน้อย
แต่ในกระต่ายที่หุ่นดีไม่อ้วนไม่ผอมเกินไปกลับผสมติดได้ง่าย ให้ลูกต่อคอกเยอะ
หลังจากนั้นนักวิจัยก็ไปอ่านหนังสือ และวารสารเพิ่มเติม แล้วพบว่าในสุกร และโค
ได้มีการวิจัยมาแล้วว่าถ้าแม่อ้วนเกินไปย่อมส่งผลให้อัตราการผสมติด
และจำนวนลูกต่อคอกลดลง ดังนั้นนักวิจัยจึงตั้งสมมติฐานว่า
ความอ้วนในแม่กระต่ายมีผลต่ออัตราการผสมติด และจำนวนลูกต่อคอกหรือไม่ จากนั้นก็ออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าว
เห็นไหมครับ ว่าความรู้ดังกล่าวเป็นองค์ความรู้ใหม่ แต่ก็มีหลักฐานด้านความรู้ และการสังเกตมาประกอบ
จากนั้นจึงทำการทดลองเพื่อพิสูจน์หลักการดังกล่าวว่าถูกต้องหรือไม่
ทุกครั้งที่มีใครบอกอะไรแก่เรา
เรามักคิดเสมอว่ามันถูกต้องหรือไม่ เชื่อถือได้แค่ไหน แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร
ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกันกับการทดลองนั้นเอง
ว่าผลการทดลองที่เราอ่านอยู่มันถูกต้องเชื่อถือได้ขนาดไหน
ความน่าเชื่อถือเกิดมาจากสองอย่างคือ จรรยาบรรณนักวิจัย และการออกแบบการทดลอง
สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากๆเลยคือ ข้อแรก (จรรยาบรรณนักวิจัย)
เนื่องจากถ้านักวิจัยเล่นนั่งเทียนเขียนผลการทดลอง
หรือดัดแปลงข้อมูลให้เกิดความบิดเบือน ผลการทดลองนับว่าไร้ค่าทั้งที
การป้องกันตรงนี้ในฐานะผู้อ่านก็คือความเชื่อใจ
เพราะเวลาผมอ่านวารสารตีพิมพ์ผมมักจะจำชื่อนักวิจัยที่เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ แล้วบางครั้งที่มีการสัมมนาวิชาการผมก็ได้โอกาสเข้าไปพูดคุยปรึกษาทำให้ทราบว่านักวิจัยกลุ่มดังกล่าวมีจรรยาบรรณที่ดีในการทดลอง
อีกข้อคือการออกแบบการทดลองในส่วนนี้ผมจะไม่ได้กล่าวโดยละเอียด
แต่ถ้านักวิจัยดำเนินการวางแผนการทดลองตามทฤษฎีแล้วย่อมไม่มีปัญหาในการเอนเอียง
หรือการทดลองผิดพลาด เพราะนักวิจัยทุกคนย่อมต้องใช้ สถิติ ซึ่งเครื่องมือที่จะบอกว่าต้องใช้สัตว์ทดลองเท่าไหร่
เลือกอย่างไร แล้วยังบอกว่าผลการทดลองได้ผลหรือไม่ เนื่องจากการแปลผลด้วยคน
คนละกลุ่ม อาจจะแปลผลไม่เหมือนกัน จึงมีการคิดวิธีการทางสถิติ
เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน ดังเช่น มีกระต่ายอยู่ 2 ตัว
ถามคน 10 คนว่ากระต่ายตัวไหนหนักกว่ากัน
คำตอบที่ได้มาย่อมแตกต่างกันไปตามความสามารถหรือประสบการณ์ของแต่ละคน
ดังนั้นถ้าเราใช้เครื่องชั่งน้ำหนักเราก็จะทราบอย่างแน่นอนว่ากระต่ายตัวไหนหนักกว่ากัน
จากตัวอย่างนี้กระต่ายสองตัวเหมือนสัตว์ทดลองที่ให้อาหารต่างกัน
แล้วอยากรู้ว่าอันไหนดีกว่า จากนักวิจัยหลายๆกลุ่มอาจบอกไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเราใช้เครื่องชั่งน้ำหนักซึ่งเปรียบเหมือนสถิติซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ทุกคนยอมรับ
และมีความถูกต้อง ไม่ว่าทดลองที่ไหน กับใคร
เมื่อเราอ่านผลเราก็เชื่อว่าเป็นจริงดังที่ได้กล่าวไว้
การเปลี่ยนแปลงใดๆในฟาร์มย่อมถือว่าเป็น
“ความเสี่ยง” ดังเช่น
การเปลี่ยนอาหารชนิดใหม่ทั้งฟาร์ม กระต่ายอาจจะมีอัตราการตายเพิ่มขึ้น หรือ
กระต่ายอาจจะโตไวขึ้นก็ได้ ดังนั้น การควบคุมความเสี่ยง (Risk management) จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำการศึกษาและปฎิบัติ การทดลองก็เป็นทางหนึ่งของการควบคุมความเสี่ยง
เนื่องจากเราไม่ได้ให้กระต่ายทั้งฟาร์มใช้อาหารใหม่
แต่เราทดลองในกลุ่มกระต่ายที่เล็กกว่าเปรียบเทียบกับกระต่ายในฟาร์มที่กินอาหารเดิม
แล้วคิดวิเคราะห์ว่าผลการทดลองเป็นอย่างไร จากนั้นก็จะตอบคำถามได้ว่าจะรับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาใช้ในฟาร์มหรือไม่
จริงๆแล้วการทดลองอาจจะเป็นได้ทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องอาหารอย่างเดียว
ซึ่งทุกครั้งที่ผมคุยกับเจ้าของฟาร์มกระต่าย
ผมได้เห็นว่าทุกคนได้ทำการทดลองมาแล้วทั้งนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว ผมยกตัวอย่างง่ายๆเลย
เมื่อกระต่ายคลอดลูกกี่วันถึงจะผสมรอบใหม่
ผมเชื่อว่าทุกฟาร์มถ้ามีพ่อแม่พันธุ์ย่อมต้องลองมาแล้ว
เนื่องจากในต่างประเทศที่ผมศึกษาอยู่ เราสามารถผสมได้ตั้งแต่ 0, 7, 14 และ 21 วันหลังคลอด ซึ่งอัตราการผสมติด
จำนวนลูกที่ได้มีการทดลองมามากมาย ซึ่งก็แน่นอนว่าประเทศไทยย่อมแตกต่างกัน
ในจุดนี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมต้องทำการทดลองในฟาร์มของตัวเอง
สำหรับคำถามสุดท้าย “ทำไมต้องทำการทดลองในฟาร์มของตัวเอง” เนื่องจากการทดลองส่วนมากมักทำการศึกษาในต่างประเทศทำให้สภาพแวดล้อม
อาหาร สายพันธุ์ การจัดการ หรือปัจจัยอื่นๆย่อมแตกต่างกันไป
ซึ่งเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกับการทดลองผลจะแตกต่างหรือไม่
อย่างไรก็ตามการออกแบบการทดลองที่ดีย่อมมีหลักการที่จะควบคุมให้เหมือนกัน ต่างที่
ต่างเวลา ย่อมมีความเสี่ยงที่ผลการทดลองแตกต่างกันได้ ดังนั้นความแตกต่างระหว่างสิ่งแวดล้อมย่อมควบคุมได้จากการทดลองในฟาร์มของตนเอง
แล้วยังเป็นการยืนยันมาใช้ได้จริงในฟาร์มของเราหรือไม่ ดังนั้นการออกแบบการทดลองต้องยึดกฎสามข้อคือ
1. สัตว์ทดลองต้องเริ่มต้นเหมือนกัน 2.
จำนวนสัตว์ทดลองต้องมีมากเพียงพอ 3.
ต้องควบคุมทุกอย่างให้เหมือนกันยกเว้น สิ่งที่ต้องการทดลองเพียงอย่างเดียว
ถ้าท่านผู้อ่านต้องการทดลองสามารถบอกผ่าน blog นี้ได้ ผมจะพยายามตอบให้ครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามีการเก็บข้อมูลของฟาร์มเป็นอย่างดี
ก็สามารถนำมาให้ผมวิเคราะห์ได้ครับ
_____________________________________________________________________________________________________