การเลือกกระต่ายทดแทน
The technique for replacement rabbit
selection
บทความนี้ได้เขียนขึ้นจากการรวบรวมบทความวิชาการ
ประสบการณ์ สัมภาษณ์นักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยดังกล่าว
และความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผมหวังว่าผู้อ่านจะได้รับความรู้ไปไม่มากก็น้อย
ถ้ามีข้อซักถามหรือข้อเสนอแนะประการใดสามารถติดต่อมาได้ที่ attawitthai@gmail.com
สำหรับข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
น.สพ.อรรถวิทย์ โกวิทวที
(นิสิตปริญญาเอกสาขาการเพาะพันธุ์กระต่าย มหาวิทยาลัยตูริน ประเทศอิตาลี)
________________________________________________________________________________
1.
|
บทนำ
|
The
introduction
|
การเลือกกระต่ายเพื่อขึ้นมาเป็นแม่ทดแทนเป็นเรื่องที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับการจัดการฟาร์มกระต่าย โดยการคัดเลือกลูกที่มีความสามารถที่จะเติบโตเป็นแม่ที่ให้ผลผลิตที่ดีในอนาคต
เป็นจุดประสงค์หลักของการคัดเลือกกระต่ายทดแทน ผมมั่นใจว่าทุกครั้งที่มีการคลอดลูกย่อมมีลูกกระต่ายที่มีศักยภาพดังกล่าวอยู่
ดังนั้นก็มีคำถามต่อมาว่าจะใช้หลักการ
หรือดัชนีอะไรมาเป็นเครื่องมือตัดสินใจในการค้นหา คัดเลือก และตัดสินใจ อย่างที่ทราบกันดีในอดีตมนุษย์ได้นำสุนัขป่ามาเพาะเลี้ยง
จากนั้นก็คัดเลือกลักษณะที่พึงประสงค์ ซึ่งอาจจะเป็นจากรูปร่าง นิสัย สี เป็นต้น ทำให้ปัจจุบันมีสุนัขมากมายหลายสายพันธุ์ตามความต้องการของมนุษย์
อาจจะกล่าวได้ว่าการคัดเลือกดังกล่าวก็เป็นการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะตามที่พึงประสงค์ แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาสายพันธุ์ก็ต้องใช้เวลานาน โดยในกระต่ายเราจะเห็นผลความแตกต่างอย่างชัดเจนประมาณรุ่นที่ 15 ขึ้นไป คิดคร่าวๆก็เป็นเวลาประมาณ 7 ปี
เป็นอย่างน้อย ฟังแล้วอาจจะตกใจว่าทำไมถึงนานอย่างนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของการพัฒนาสายพันธุ์ แต่เราสามารถทำให้เร็วขึ้นโดยผสมข้ามสายพันธุ์ก็จะสามารถทำให้ประสิทธิภาพ และมองเห็นความแตกต่างได้เพียงใช้เวลาประมาณ 2-4 รุ่น ดังเช่น การพัฒนาสายพันธุ์กระต่ายบ้านกับกระต่ายเนื้อต่างประเทศ
เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพการผลิตที่สูง ก็จะทำให้สุขภาพของกระต่ายไม่ดี
ยิ่งกระต่ายมีเลือดของต่างประเทศมากก็ทำให้ไม่ทนต่อโรค ความร้อน ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
ในประเทศไทย ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้
ดังนั้นผมจึงชอบฟาร์มที่ใช้กระต่ายในฟาร์มตัวเอง แล้วค่อยๆพัฒนาขึ้นมา
เพราะเราจะได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันคือ ประสิทธิภาพ และความแข็งแรง
แต่ของดีมันก็ต้องใช้เวลานะครับ
ปกติแล้วเมื่อเราจะนำลูกขึ้นมาเป็นแม่ทดแทน
เราควรมีหลักการเลือกบางประการ โดยหลักการที่นิยมคือดูจากประวัติแม่
ถ้าแม่ดี ผสมกับพ่อที่ดี ก็ควรที่จะให้ลูกที่ดี จากนั้นก็ดูลูกในคอกว่าตัวไหนควรจะเก็บเป็นแม่พันธุ์ที่สุด
และอย่างลืมว่าเรามีอัตราทดแทนแม่อยู่ที่เท่าไหร่ ถ้าทดแทนมามากไป
หรือน้อยไปย่อมมีปัญหาในภายภาคหน้าแน่นอน โดยดัชนีที่จะใช้เลือกนั้นผมก็จะกล่าวถึงรายละเอียดในบทความนี้นะครับ
อย่างไรก็ตาม จะทราบได้อย่างไรว่าแม่ไหนดี เราต้องมีการจัดเก็บข้อมูลที่ดีเป็นระบบเสียก่อน
แล้วจึงนำมาคิดเปรียบเทียบ ถ้าฟาร์มมีการเก็บข้อมูลโดยมีข้อมูลอย่างที่ผมเคยเขียนในบทความ
“ความสำคัญ และประโยชน์จากฐานข้อมูลพื้นฐาน” สามารถนำข้อมูลดังกล่าวส่งมาที่
attawitthai@gmail.com แล้วผมยินดีจะวิเคราะห์ดัชนีในฟาร์มให้ครับ
หลักการที่สำคัญที่เราต้องเข้าใจก่อนคือ
ลักษณะที่สัตว์แสดงออก (Phenotype) หรือลักษณะที่ใช้ตาเปล่าสังเกตเห็นได้
ดังเช่น สี การให้ลูกดก ผสมติดที่ดี อัตราการตายต่ำ เป็นต้น
เกิดจากตัวแปรสองตัวรวมกันคือ พันธุกรรม (Genetic)
และสิ่งแวดล้อม (Environment) โดยพันธุกรรมก็คือเรื่องของสายพันธุ์นั่นเอง
โดยการพัฒนาสายพันธุ์ก็เกิดมาจากการคัดเลือกพันธุกรรมที่ดี
หรือลักษณะที่พึงประสงค์ มาผสมกันก็จะได้ลูกตามที่ต้องการ อีกสิ่งหนึ่งคือสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยง โดยหลักแล้วจะหมายถึงการจัดการ และอาหาร ก็ส่งผลสนับสนุนหรือยับยั้งลักษณะที่พึ่งประสงค์ด้วย
ดังเช่นเราเลี้ยงโคนมพันธุ์แท้จากต่างประเทศ ที่ชอบอยู่อากาศเย็น
และต้องการอาหารโปรตีนสูง แต่ดันให้อยู่อากาศร้อนๆ อาหารที่ให้คุณค่าก็ไม่ถึง
โคนมที่มีพันธุกรรมที่ดีก็ไม่สามารถให้ผลผลิตที่ดีตามที่ควรจะเป็นได้
ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเมื่อมีการปฎิสนธิ
หรือผสมพันธุ์ลูกที่ได้จะมีการแลกเปลี่ยนพันธุกรรมจากพ่อ และแม่อย่างละครึ่ง
ดังนั้นการเลือกพ่อ และแม่ที่ดีก็มีความสำคัญเช่นกัน มากไปกว่านั้นการแลกเปลี่ยนที่ได้กล่าวไปเป็นแบบสุ่มทำให้เราสังเกตเห็นได้ว่าลูกที่ได้ในแต่ละคอกก็ยังมีความแตกต่างกันออกไปอีก
ดังนั้นหลังจากเราใช้พ่อแม่ที่ดีแล้ว
ลูกในคอกเราก็ต้องหาปัจจัยมาเลือกว่าตัวไหนถึงจะดี
เพราะลูกแต่ละตัวก็จะให้ประสิทธิภาพการผลิตที่แตกต่างกันอีกนั่นเอง
เป็นอย่างชัดเจนจากผลการวิจัยที่เป็นที่ยอมรับว่าการใช้โปรแกรมคัดเลือกลักษณะที่พึงประสงค์สามารถทำให้ลูกต่อคอกเพิ่มขึ้นได้ประมาณ
0.05-0.13
ตัวต่อคอก การเลือกใช้พ่อพันธุ์ที่มีประวัติการโตต่อวันที่ดี (Average
daily weight gain: ADG) มาผสมก็ส่งผลให้ปริมาณน้ำนมของลูกเมื่อขึ้นสู่ชุดผสมมีปริมาณเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามเราก็ควรคำนึงถึงสุขภาพของแม่กระต่าย อัตราการคัดทิ้ง รวมด้วย
ไม่ใช้คำนึงแต่ผลผลิตที่สูงเพียงอย่างเดียว ดังนั้นงานทดลองจึงมุ่งเน้นเพื่อหาดัชนีในวันนี้เพื่อบ่งบอก
หรือคาดเดาประสิทธิภาพที่ดี และสุขภาพที่ดีในอนาคตนั่นเอง
2.
|
การจัดสรรการใช้สารอาหาร
|
Nutrient
partitioning
|
ในแต่วันสารอาหารที่ได้รับเข้าไปนั้นจะถูกย่อย ดูดซึม หลังจากนั้นร่างกายจะมีการจัดสรรสารอาหาร
และพลังงานดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ในอวัยวะต่างๆ (food) หรือเก็บสะสมเพื่อเป็นพลังงานสะสม (Body reserve) ซึ่งการจัดการนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารที่ได้รับ
ชนิดของสารอาหาร และการใช้พลังงานในช่วงนั้น ดังเช่น ถ้าเป็นแม่กระต่ายท้องว่าง
(ไม่มีลูก) ย่อมใช้พลังงานน้อยกว่าแม่กระต่ายที่ต้องให้นมลูก
ร่างกายจะจัดสรรพลังงานในข้างต้นให้อวัยวะที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตก่อน
(Vital
organ) ซึ่งประกอบไปด้วย สมอง หัวใจ ปอด ไต ตับ ตับอ่อน และม้าม
เนื่องจากถ้าอวัยวะดังกล่าวไม่มีพลังงานเพียงพอย่อมส่งผลกระทลต่อร่างกายอย่างรุนแรงอย่างแน่นอน
หลังจากอวัยวะดังกล่าวได้รับพลังงานร่ายกายก็จะจัดสรรไปให้ส่วนอื่น คือ กระดูก
กล้ามเนื้อ เมื่อส่วนนี้พอเพียงก็จะจัดสรรไปให้ในอวัยวะที่เกี่ยวกับผลผลิตดังเช่น
น้ำนม อวัยวะสืบพันธุ์เพื่อให้ร่างกายสัตว์สมบูรณ์พันธุ์ และพร้อมผสมอีกครั้ง
เมื่อมีพลังงานเหลือจากนี้ก็จะมีการเก็บสะสมในรูปของแป้ง (Glycogen) จากนั้นก็จะเก็บสะสมในรูปของไขมัน (Fat) ดังแสดงในรูปที่
1
ภาวะสมดุลพลังงานในสัตว์ประกอบไปด้วย 2
ภาวะ คือ ภาวะที่มีการใช้พลังงานมากกว่าพลังงานที่ได้รับ เรียกว่า
ภาวะขาดดุลพลังงาน (Negative energy balance) และภาวะที่มีการใช้พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับ
เรียกว่า ภาวะได้ดุลพลังงาน (Positive energy balance) การที่สัตว์อยู่ในภาวะขาดดุลพลังงานไม่ได้หมายความว่าการจัดการเราไม่ดี
แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงต่อความต้องการพลังงานนั่นเกิดขึ้นจากระยะของระบบสืบพันธุ์ที่ใช้พลังงานแตกต่างกัน
(รูปที่ 2) แต่เราต้องจัดการให้กระต่ายกลับสู่ภาวะสมดุลพลังงานให้เร็วที่สุดนั่นเอง
ช่วงหลักๆสองช่วงที่กระต่ายจะอยู่ในภาวะขาดดุลพลังงาน ช่วงให้นม
และช่วงท้องระยะท้าย เนื่องจากช่วงให้นมกระต่ายต้องเสียพลังงานไปกับการสร้างนม
สำหรับช่วงท้อง ซึ่งมีฮอร์โมนมากมายที่ทำให้ความอยากอาหารลดลง
ร่วมทั้งเมื่อกระต่ายพยายามกินมากขึ้นเพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสียแต่กลับโดยลูกในท้องเบียดทางเดินอาหารทำให้รับอาหารในปริมาณที่น้อยลง
ซึ่งจะส่งผลมากในช่วงท้องระยะท้ายซึ่งลูกมีขนาดใหญ่ และต้องใช้พลังงานมาก
คำถามเมื่อกินไม่ได้แต่ต้องการพลังงาน
แม่กระต่ายจะนำพลังงานตรงไหนมาใช้เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้
คำตอบก็คือนำมาจากพลังงานสะสมไม่ว่าจะอยู่ในรูปของไกลโคเจน หรือไขมัน ดังนั้นการมีพลังงานสะสมที่เพียงพอ
ความสามารถเคลื่อนย้าย
และนำพลังงานดังกล่าวมานำมาใช้ได้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้แม่ไม่ป่วย
หรือตาย และยังสามารถกลับมาผสมได้อีกครั้ง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวจะพบในแม่ที่สุขภาพที่ดี
และมีพลังงานสะสมเพียงพอเท่านั้น
การผสมทุกครั้งควรให้แม่มีคะแนนร่างกายที่เหมาะสม
ต้องเข้าใจก่อนว่าคะแนนร่างกายกับน้ำหนักตัวไม่ใช่เรื่องเดียวกัน น้ำหนักใช้บอกเมื่อต้องการเทียบกับกระต่ายตัวอื่นหมายความว่า
กระต่ายตัวนี้หนักกว่าอีกตัวหนึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่ากระต่ายตัวนั้นอ้วนหรือผอม
สิ่งที่บอกความอ้วนผอมคือ คะแนนร่างกาย
ซึ่งก็จะสื่อไปถึงปริมาณของพลังงานสะสมในร่างกาย อาจยกตัวอย่างได้ว่ากระต่ายที่น้ำหนักมากอาจจะผอม
หรือกระต่ายที่น้ำหนักน้อยอาจจะอ้วนก็ได้ การที่ให้วันผสมต้องให้แม่มีคะแนนร่างกายเหมาะสมเนื่องจากให้ผลผลิตที่ดีกว่า
รวมทั้งอัตราการคัดทิ้งที่ลดลงซึ่งทำให้ใช้แม่ได้นานขึ้น (ตารางที่ 1)
ดังนั้นเมื่อจะผสมแม่ต้อง มีคะแนนร่างกายเหมาะสม น้ำหนัก
และอายุถึงเกณฑ์เสมอ
อย่างไรก็ตามการคัดเลือกสายพันธุ์สามารถพัฒนาสายพันธุ์ให้กระต่ายสามารถเก็บสะสมพลังงานได้ดีกว่า
ดังที่ได้แสดงในตารางที่ 1 ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพการผลิต
และความสามารถในการเก็บสะสมพลังงานได้เร็วและดีกว่า
เมื่อเราคัดเลือกแม่ด้วยดัชนีน้ำหนักอย่านมไปเรื่อยๆ โดยในตารางที่ 1 ได้เปรียบเทียบระหว่างรุ่นที่ 15x16 แต่เมื่อเราพัฒนาไปเรื่อยๆจนเป็นรุ่นที่
26x29 คุณภาพการผลิตก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ
รวมทั้งสุขภาพที่ดีขึ้นจากอัตราการคัดทิ้งที่ลดลงอีกด้วย
ตารางที่
1
แสดงประสิทธิภาพการผลิตจากการคัดเลือกแม่ทดแทนจากน้ำหนักเมื่ออย่านมโดยเปรียบเทียบระหว่างแม่ที่ได้จากการผสมรุ่นที่
15x16 กับแม่ที่ได้จากการผสมรุ่น 26x29
รุ่นที่ผสม
|
รุ่น 15 ผสมกับรุ่น 16
|
รุ่น 26 ผสมกับรุ่น 29
|
ความหนาของไขมันบริเวณไตเมื่ออายุ
3
เดือน (มม)
|
8.06±0.14
|
8.36±0.15
|
จำนวนลูกต่อคอกในคอกแรก
|
8.86±0.52
|
10.76±0.53
|
จำนวนลูกเฉลี่ยต่อคอกในคอกที่
2-5
|
10.30±0.44
|
11.39±0.45
|
ร้อยละอัตราคัดทิ้งต่อปี*
|
100
|
64
|
*
อัตราคัดทิ้ง = ร้อยละของแม่กระต่ายที่ต้องคัดทิ้งด้วยสาเหตุต่างๆเมื่อเป็นลำดับท้องที่
5
3.
|
การคัดเลือกแม่สาวทดแทนเพื่อพัฒนาพันธุ์
|
Replacement
doe selection for genetic improvement
|
การคัดเลือกจากค่าดัชนีการผลิตแล้วคัดเลือกมาใช้เป็นแม่ทดแทนเพื่อพัฒนาพันธุกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ในปศุสัตว์หลายชนิดพบว่าการคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อลักษณะที่พึ่งประสงค์เป็นเวลานานได้ส่งผลเสียด้านสุขภาพออกมา
แต่สำหรับในกระต่ายยังไม่พบผลเสียดังกล่าว
อย่างไรก็ตามเราก็ควรพัฒนาให้ได้ทั้งในส่วนของผลผลิตที่ดี
และสุขภาพที่ดีควบคู่กับไปด้วย อย่างที่ได้กล่าวไปหลังจากดูประวัติพ่อ
และแม่ที่ดีแล้ว ผมจะกล่าวถึงดัชนีที่ใช้คัดเลือกลูกในคอกว่าจะนำลูกตัวไหนมาเป็นแม่ทดแทน
โดยมีหลักการดังนี้คือ น้ำหนักแรกเกิด อัตราการโต น้ำหนักในวันอย่านม และสุดท้ายคือดัชนีที่เลือกจากแม่คือ
คัดเลือกลูกที่มาจากแม่ที่อยู่ในชุดผสมได้นานมาเป็นแม่ทดแทน
การศึกษาในระยะยาวจำนวน 6
ท้อง ก็ได้ผลการทดลองไปในทางเดียวกันคือ น้ำหนักแรกเกิดของแม่ทดแทนที่มากจะมีปริมาณลูกต่อคอกมากกว่าแม่ที่มีน้ำหนักน้อยประมาณร้อยละ
12.4 ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวก็เป็นเช่นเดียวกับพ่อพันธุ์
โดยพ่อพันธุ์ที่มีน้ำหนักน้อยในช่วงแรกเกิดก็จะมีปริมาณน้ำเชื้อต่อครั้งน้อย
และมีความผิดปกติของเซลล์อสุจิมากกว่ากระต่ายที่มีน้ำหนักแรกเกิดมาก
3.2 การคัดเลือกดัวยอัตราการโต
(Selection by growth rate) ดัชนีที่ใช้คือ
อัตราแลกเนื้อ (Feed converstion ratio: FCR) โดยเก็บข้อมูลของลูกหลังหย่านมไปจนถึงประมาณ
2 เดือน จากนั้นก็คำนวณค่าอัตราแลกเนื้อจากนั้นก็เลือกลูกที่มีอัตราแลกเนื้อที่ต่ำมาเป็นแม่ทดแทน
สาเหตุที่ใช้ดัชนีนี้เนื่องจากเมื่อเราสามารถผลิตลูกกระต่ายที่มีอัตราแลกเนื้อต่ำ ก็ทำให้อาหารน้อยแต่ได้เนื้อปริมาณมากขึ้นทำให้ประหยัดค่าอาหารซึ่งเป็นถือว่ามีค่าใช้จ่ายมากถึงร้อยละ
40 อย่างไรก็ตามแม่ดังกล่าวกลับมีระยะเวลาที่สามารถอยู่ในชุดผสมน้อยลง
หรือหมายความว่าสุขภาพแย่จนต้องคัดทิ้ง ซึ่งลักษณะดังกล่าวก็พบในสัตว์ชนิดอื่นเช่นเดียวกัน
มากไปกว่านั้นพ่อพันธุ์ที่คัดเลือกจากประสิทธิภาพการเจริญเติบโตที่สูง
แต่กลับมีอสุจิที่มีลักษณะผิดปกติมากขึ้น ซึ่งก็ส่งผลต่ออัตราการผสมติดที่ลดต่ำลงนั่นเอง
และการเก็บค่าดัชนีดังกล่าวต้องเก็บกระต่ายต่อตัว
ซึ่งเราต้องทราบว่ากระต่ายแต่ละตัวกินอาหารต่อตัวต่อหนึ่งช่วงเวลาเท่าไหร่
รวมทั้งต้องทราบถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวต่อตัวด้วย
ทำให้ไม่สะดวกต่อการเก็บข้อมูล ดัชนีนี้จึงไม่ค่อยนิยมใช้
3.3 น้ำหนักตอนอย่านม (Selection
by weaning weight) จากการคัดเลือกด้วยน้ำหนักอย่านมเป็นระยะเวลา
12
รุ่น พบว่าแม่ที่น้ำหนักอย่านมมากกว่าสามารถให้จำนวนลูกต่อคอกที่มากกว่าประมาณ
1.1 ตัว มีปริมาณน้ำนมมากขึ้น อัตราการกินต่อวันที่มากขึ้น
มากไปกว่านั้นอัตราการตายหลังอย่านมในลูกซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของการผลิตกระต่ายนั้นลดลงอย่างชัดเจน
อีกทั้งในกลุ่มที่คัดเลือกด้วยน้ำหนักอย่านมที่มากกว่าจะมีความหนาของไขมันที่ไตเมื่อ
10 วันหลังผสมที่มากกว่า ซึ่งก็สื่อถึงสมดุลพลังงานที่สามารกลับมาสู่ภาวะสมดุลพลังงานได้เร็วกว่าอีกกลุ่มหนึ่งนั่นเอง
เมื่อทำการศึกษาระยะยาวที่ 20 รุ่น ก็มีการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นโดยอัตราการกินต่อวัน
และปริมาณน้ำนมที่ผลิตต่อวันมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทำให้น้ำหนักหย่านม
และอัตรารอดตายของลูกที่ดียิ่งขึ้นอีก ดังนั้นการคัดเลือกด้วยน้ำหนักตอนอย่านมช่วงส่งเสริมให้กระต่ายกลับมาสู่ภาวะสมดุลพลังงานได้เร็ว
ทำให้อัตราการผสมติดที่ดี และให้นมมากขึ้นก็ทำให้ได้ลูกกระต่ายมีศักยภาพที่ดีกว่านั่นเอง
3.4
คัดเลือกลูกที่มาจากแม่ที่อยู่ในชุดผสมได้นานมาเป็นแม่ทดแทน (Selection
by longevity in doe) คือ
ความสามารถที่แม่พันธุ์จะอยู่ในชุดขุนโดยไม่ถูกคัดทิ้งหรือตาย โดยสาเหตุของการคัดทิ้งก็คือ
ป่วย ผสมไม่ติด และผลผลิตที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ อย่างที่ได้กล่าวไปเมื่อเราคัดเลือกให้กระต่ายมีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงไปเรื่อยๆ
จะสวนทางกับสุขภาพ ทำให้อัตราการทดแทนค่อนข้างสูง ทำให้สูญเสียไปกับการจัดการที่มากขึ้น
รวมทั้งประสิทธิภาพรวมก็จะน้อยลงเนื่องจากลำดับท้องหลังจาก 3
ขึ้นไปจะให้ปริมาณ และคุณภาพของลูกที่ดีกว่าในช่วงท้องแรก
อีกทั้งเป็นการรับความเสี่ยงที่จะนำแม่ใหม่ในปริมาณที่มากขึ้นอีก
ดังนั้นระยะเวลาที่สามารถอยู่ในชุดผสม กับคุณภาพการผลิตจึงเป็นสองสิ่งที่คาดหวังในการพัฒนาสายพันธุ์
ได้มีการทดลองโดยเปรียบเทียบโดยใช้หลักการต่างกันคือ
เลือกลูกที่มาจากแม่ทดแทนที่อยู่ได้นานโดยใช้รุ่นที่ 25 (ผมของเรียกว่ากลุ่มที่
1) กับเลือกลูกที่มีน้ำหนักหย่านมสูงใช้รุ่นที่ 31 (ผมของเรียกว่ากลุ่มที่ 2 ได้ผลการทดลองดังรูปที่ 5
และ 6 โดยพบว่าในช่วงลำดับท้องแรกถึงท้องที่ 3 จำนวนลูกอย่านมต่อคอกนั้นไม่มีผลแตกต่างกันระหว่างสองกลุ่ม
แต่เมื่อหลังจากลำดับท้องที่ 4 เป็นต้นไป กระต่ายในกลุ่มที่ 1 ให้จำนวนลูกต่อคอกมากกว่าอีกกลุ่มที่ 2
มากไปกว่านั้นน้ำหนักแม่หลังคลอด คะแนนร่างกายประเมินจากความหนาของไขมันบริเวณไต
และปริมาณน้ำนมในกลุ่มที่ 1 ที่ดีกว่ากลุ่มที่ 2 รวมทั้งหลังจากศึกษาในระยะยาวประมาณ 7 รุ่น
ก็พบว่าการคัดเลือกด้วยหลักการดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกระต่าย และอัตราการคัดทิ้ง
งานทดลองส่วนใหญ่จะทดลองในสภาวะปกติ หมายความว่าอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ควบคุมปัจจัยเสื่ยงไม่ว่าจะเป็นความเครียด หรือโรค เพื่อต้องการเห็นผลการทดลองที่ชัดเจน ซึ่งไม่เหมือนกับสถานการณ์จริง ทำให้มีการทดลองเปรียบเทียบเพิ่มเติมระหว่างกลุ่มที่ 1 และ2 ในข้างต้น พบว่าเมื่ออยู่ภาวะปกติกลับไม่พบความแตกต่างด้านผลผลิตอย่างชัดเจน แต่ให้ภาวะเสี่ยงด้วยการให้อาหารที่มีพลังงานต่ำ ทำพบความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังแสดงในรูปที่ 7 และ 8 โดยกระต่ายกลุ่มที่ 1 พยายามทดแทนพลังงานที่น้อยในอาหารด้วยการเพิ่มอัตราการกินที่มากขึ้น ในขณะที่กลุ่มที่ 2 ไม่ได้เพิ่มอัตราการกิน ซึ่งก็ส่งผลให้พลังงานสะสมในร่างกาย และจำนวนลูกต่อคอกในกลุ่มที่ 2 ลดต่ำลงอย่างชัดเจน ระดับภูมิคุ้มกันที่ดีมีความสอดคล้องกับคะแนนร่างกายที่เหมาะสมด้วย โดยการคัดเลือกด้วยน้ำหนักหลังอย่านมมากกว่า 20 รุ่น ส่งผลให้ ปริมาณเม็ดเลือดขาวรวม และเม็ดเลือดขาวชนิดที่สร้างแอนติบอดี้ (B-lymphocyte) ลดลงที่ร้อยละ 17 และ 36 ตามลำดับ ดังนั้นการเลือกจากดัชนีที่แม่อยู่ในชุดผสมได้นาน นั้นก็ให้ผลผลิตที่ดี และสุขภาพที่ดีด้วย แต่กว่าจะทราบว่าแม่ไหนอยู่ได้นานก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะทราบข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์นั่นเอง
4.
|
บทสรุป และข้อเสนอแนะ
|
Conclusions
and suggestions
|
วิธีการคัดเลือกมีหลายวิธีโดยสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องพึงระลึกเสมอคือ
เมื่อเราจะผสมกระต่ายต้องให้ อายุ น้ำหนัก และคะแนนร่างกายที่เหมาะสมก่อน
ดังนั้นสำหรับท้องครั้งแรกก็ต้องให้ตามทั้งสามอย่าง
ส่วนท้องต่อไปก็ต้องจัดการให้คะแนนร่างกายกลับมาสู่ปกติก่อนถึงจะผสม
สำหรับการคัดเลือกให้ดูที่แม่ก่อนโดยใช้หลักการเลือกแม่ที่มีความสามารถอยู่ในชุดผสมได้นาน
หรือสุขภาพดีนั่นเอง แต่ดัชนีดังกล่าวต้องใช้เวลา และการเก็บข้อมูล
ในข้างต้นให้เลือกที่น้ำหนักอย่านมที่ดี แล้วค่อยเก็บสะสมไปเรื่อยๆครับ
หวังว่าในที่สุดเราก็จะได้พัฒนาสายพันธุ์กระต่ายในฟาร์มของเราได้
โดยระหว่างนั้นอาจจะนำกระต่ายจากฟาร์มอื่นมาร่วมผสมเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ก็ได้
แต่แนะนำให้พัฒนาของฟาร์มเราด้วยเนื่องจากเราจะได้กระต่ายที่เหมาะกับสภาพอากาศ
อาหาร และการจัดการของเราเป็นพื้นฐาน ทำให้กระต่ายเราแข็งแรงเป็นอย่างแรก
จากนั้นค่อยพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตต่อไป