Talk:
กระต่ายคอเอียง
ตอนที่
4 (แนวทางในอนาคต
ตอนจบ)
ในที่สุดก็มาถึงตอนจบซักที
เข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ ผมจะให้คำแนะนำในแต่ละกรณีกันไปนะครับ
เผื่อจะเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้
1. กรณีเจ้าของฟาร์มปลอดโรค
สิ่งแรกที่ต้องรู้เลยว่าฟาร์มปลอดโรคจริงหรือไม่
ก่อนอื่นเลยเพื่อประหยัดต้นทุนเราจะตรวจหาแอนติบอดี้ในฟาร์มก่อน โดยวิธีการสุ่ม
หรือทั้งหมดก็แล้วแต่ฟาร์ม ถ้าให้ผลลบนับว่าโชคดีสุดๆ
ที่เหลือก็แค่การป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามา
แต่ถ้าให้ผลบวกก็ดูกันเลยครับว่าเชื้ออยู่ที่ตัวไหนด้วยการตรวจหาตัวเชื้อ
ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในข้อ 2 สำหรับฟาร์มที่ไม่มีเชื้อนั้น
ต้องป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามาครับ สามารถทำโดยกักโรคควรนานเกิน 2 เดือน
แล้วตรวจหาแอนติบอดี้ว่ากระต่ายที่รับเข้ามามีเชื้อหรือไม่
รวมทั้งสามาถตรวจหาตัวเชื้อร่วมด้วย
2. กรณีเจ้าของฟาร์มมีโรค
แนะนำให้ยาทั้งฟาร์มครับ เนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อไปได้ทั้งฟาร์ม
แต่อย่างไรก็ตามอยู่ที่ว่าผลบวกที่เกิดขึ้นนั้นได้จากการตรวจหา ตัวเชื้อ
หรือแอนติบอดี้ ถ้าเป็นการตรวจหาตัวเชื้อก็บอกได้แน่นอนครับว่ามีเชื้อแน่ๆ
แต่ถ้าผลตรวจพบแอนติบอดี้ก็ไม่แน่ว่ากระต่ายตัวนั้นอาจมีเชื้ออยู่
หรือเป็นกระต่ายที่สามารถต่อสู้กับเชื้อได้ ทำให้มีสองหลักการที่ใช้ในต่างประเทศดังนี้
2.1 จากรายงานจากประเทศไต้หวัน
อันนี้จะออกแนวทำลายแต่โรคหยุดไว สามารถสร้างฟาร์มปลอด โรคได้อย่างรวดเร็ว หลักการคือตรวจเลือดกระต่ายทุกตัวด้วยการตรวจหาแอนติบอดี้
ตัวไหนมีบวกก็คัดทิ้งทันที จากรายงานใช้เวลาประมาณ 45 วันก็สามารถเป็นฟาร์มปลอดโรค
จากนั้นเราก็กักโรคโดยตรวจหาแอนติบอดี้อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ข้อดีคือโรคหยุดไว
ข้อเสีย กระต่ายโดนปลดทิ้งเยอะ
บางที่กระต่ายที่เราปลดไปอาจจะเป็นกระต่ายที่สามารถต่อสู้กับเชื้อก็ได้
และถ้ามีเชื้อเล็ดลอดเข้ามาในฟาร์มอีก ความเสียหายที่เกิดค่อนข้างรุนแรงมาก
2.2 อีกฝั่งประเทศไทยก็ออกทฤษฎีมาว่า
เย้ย!!! ที่ไทยออกกับเค้าด้วยเหรอ ขอโทษทีครับไม่ใช่ของไทยหรอก
จากที่ผมทำงานวิจัยเรื่องนี้ก็พยายามหาทางแก้ไข
อันนี้เป็นทฤษฎีที่ผมคิดขึ้นมาเองครับ ถ้าใครมีความคิดว่าตรงไหนผมคิดไม่ถูกต้อง
บอกกันได้นะครับ จะได้เป็นการแบ่งประสบการณ์กัน
เพราะผมก็ไม่ได้บอกว่าวิธีของผมเป็นวิธีที่ถูกต้อง เนื่องจากผมก็ยังไม่เคยทำการทดลองพิสูจน์
หลักการที่ว่าผมคิดจากถ้าผมสั่งให้ทำลายการต่ายมากมายขนาดนั้นเจ้าของฟาร์มต้องไม่พอใจ
และเสียเงินเป็นอย่างมาก
ซึ่งจากที่ผมเก็บตัวอย่างผมว่าหลายที่ในประเทศของเราก็มีเชื้ออยู่แล้ว
พูดง่ายๆก็คือหนีไปไหนไม่รอด ดังนั้นผมจึงคิดว่า เราต้องอยู่กับมันให้ได้ เราจะอยู่กับมันได้ไง
หลักการก็คือ เชื้อนี้คือเชื้อฉวยโอกาส หมายความว่า
ถ้าร่างกายสัตว์แข็งแรงร่างกายเราก็สามารถทำลายเชื้อนี้ได้ครับ
แต่การจัดการเรื่องสุขภาพต้องดีมาก เพราะปัญหาของประเทศเราคือ ฤดูร้อน และปลายฝนต้นหนาว
ตอนนี้ภูมิคุ้มกันแย่แน่นอนจัดการยากมาก และเป็นช่วงที่เชื้อสามารถแสดงฤทธิ์ออกมากได้
ดังนั้นผมเสนอวิธีการเป็นข้อๆดังนี้ครับ
2.2.1 คัดทิ้งกระต่ายที่แสดงอาการ
เนื่องจากกระต่ายกลุ่มนี้ถือว่าไม่สามารถต่อสู้กับโรคได้
และยังจะแพร่เชื้อต่อไปอีก ถึงจะรักษาให้หายการให้ผลผลิตก็ไม่ดีเท่าเดิม
2.2.2 ให้ยาแก่กระต่ายก่อนภูมิคุ้มกันจะตก
ถ้าเราคิดนะครับ ถ้าผมมีกระต่ายอยู่ 100 ตัว สมมติติดเชื้อเรียบร้อยไปแล้ว 40
ตัว แสดงอาการ 5 ตัว ดังนั้นผมคัดทิ้งออกไปเหลือ
35 ตัวที่มีเชื้อ แต่ปัญหาคือ ในความจริงแล้วตาเราจะเห็นแค่
กระต่ายป่วย 5 ตัว ปกติ 95 ตัว
ซึ่งตัวปัญหาที่ไม่แสดงอาการ 35 ตัวเนี่ยแหล่ะครับ
ที่เราต้องจัดการ อย่างที่กล่าวไปเชื้อนี้เป็นเชื้อฉวยโอกาส ถ้าเราเลี้ยงดี
สภาพอากาศดี เชื้อที่อยู่ในกระต่ายที่มีเชื้อจะออกมาน้อยมาก
แต่เมื่อในช่วงอากาศไม่ดีอย่างที่ผมได้กล่าวไปกระต่ายที่มีเชื้ออยู่จัดหนัก
พ่นเชื้อออกมาทำให้กระต่ายปกติติดเชื้อได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงไป
ดังนั้นแก้ไขก็คือการให้ยากระต่ายทั้งฟาร์ม ยาจะทำให้กระต่ายที่พ่นเชื้อไม่พ่นเชื้อ
และกระต่ายปกติก็ได้รับการป้องกัน
ตอนนี้บางคนอาจบอกว่าแล้วเชื้อที่ออกมาเล็กน้อยตอนที่สภาพอากาศดี
และเราไม่ได้ให้ยาเราจะทำยังไง จุดที่สำคัญมากที่จะสร้างกระต่ายเทพ
คือกระต่ายที่ทนทานต่อเชื้อตัวนี้ มันจะเกิดขึ้นโดยที่กระต่ายปกติได้รับเชื้อในปริมาณน้อยในขณะที่ร่างกายแข็งแกร่ง
ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะจัดการเชื้อได้ ซึ่งได้มีการยืนยันจากงานทดลองแล้ว
ภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ได้มีแค่คนทำลายเท่านั้น
ยังมีกลุ่มเซลล์ที่จะสามารถจดจำเชื้อ (Memory cell) เมื่อเจอเชื้ออีกครั้งก็สามารถกระตุ้นภูมิและต่อสู้กับเชื้อได้รวดเร็วกว่าครั้งแรก
ซึ่งในเชื้ออื่นๆพบว่าร่างกายมีการตอบสนองดังกล่าว
ซึ่งน่าจะเป็นในทางเดียวกันกับเชื้อตัวนี้ แต่ก็ต้องรอการทดลองยืนยันต่อไป
เพราะฉะนั้นถ้าทฤษฎีที่ได้กล่าวไปได้รับการยืนยันจากการทดลอง
เราจะสามารถสร้างกระต่ายเทพ และอยู่กับโรคได้อย่างมีความสุข
แต่ก็ต้องรอการทดลองยืนยัน แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือใช้เวลาค่อนข้างนาน
แต่ก็ไม่ต้องใช้วิธีการตรวจที่ยุ่งยาก
3. กรณีสัตว์เลี้ยง จุดยากของการทำฟาร์มพ่อแม่พันธุ์แท้
กับสัตว์เลี้ยงคือการไม่มีคำว่า “คัดทิ้ง” แต่ไม่ต้องกลัวครับ ทุกอย่างมีทางออก อยากแรกรักษาเลยครับ
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น แล้วดูอาการกันไป
เพราะโรคนี้ถ้าได้รับการรักษาไม่ถึงตายถ้าเรารักษาทันท่วงที สำหรับการตรวจผมแนะนำการตรวจหาตัวเชื้อ
แต่ต้องรอวิธีตรวจที่กำลังพัฒนาอยู่ เนื่องจากเราต้องรู้ว่าเชื้อจะออกมากับปัสสาวะช่วงไหน
จะได้เก็บตัวอย่างได้ และต้องมีวิธีตรวจที่มีความแม่นยำมากเพียงพอ
สำหรับคนที่จะซื้อก็ต้องเตรียมใจด้วยครับ
อย่างที่บอกวิธีการตรวจในกระต่ายมีชีวิตยังไม่มีวิธีที่ดีพอ อย่างไรก็ตามสำหรับสัตว์เลี้ยงผมยังใช้หลักเดิมเสมอว่า
ไม่มีสัตว์ตัวไหนแทนกันได้
ถ้าผมได้ข้อมูลการรักษามากกว่านี้ผมจะรีบนำมาลงให้ทันทีครับ
หวังว่าคงได้รับความรู้มากขึ้นนะครับ
เนื่องจากเชื้อตัวนี้ก็ยังเป็นที่สนใจต่อนักวิจัยอยู่ในขณะนี้ ถ้ามีองค์ความรู้มากกว่านี้จะรีบเอามาลงให้
ส่วนตัวผมก็คงต้องหาทุนวิจัยทำต่อไปจนกว่าฟาร์มในไทยจะต่อสู้กับเชื้อตัวนี้ได้
สุดท้ายผมของฝากว่า ถ้ามีคนในบ้านมีภูมิคุ้มกันบกพร่องดังเช่น
เอดส์ ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ใช้ยามะเร็ง เป็นต้น ให้รีบนำกระต่ายที่สงสัยออกจากบ้าน
และติดต่อแพทย์ที่รักษาอยู่ เนื่องจากเชื้อสามารถติดคนกลุ่มดังกล่าวได้ ซึ่งคนปกติก็มีรายงานว่าติดเชื้อนี้ได้
ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องหาหลักฐานยืนยันกันต่อไปครับ