Talk: ไข้น้ำนมในกระต่าย 3 (หลักการ)
ฟอสฟอรัส
ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก และการเผาผลาญพลังงาน
ในกระต่ายเด็กจะสามารถดูดซึมฟอสฟอรัสได้ดีกว่าในกระต่ายโตเนื่องจากต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่า
ฟอสฟอรัสที่ดูดซึมจากลำไส้เล็กส่วนต้น และส่วนกลาง
ฟอสฟอรัสในอาหารของกระต่ายจะอยู่ในรูปของ
Phytate phosphorus ซึ่งเอนไซม์จากกระต่ายไม่สามารถย่อยฟอสฟอรัสออกมาใช้งานได้
แต่สามารถย่อยด้วย Phytase
จากแบคธีเรียในซีกั่ม (Caecum) ได้ ซึ่งฟอสฟอรัสที่ย่อยแล้วจะออกมากับอุจจาระกลางคืนและจะถูกกระต่ายกินกลับเข้าไปเพื่อนำฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย
นอกจากนี้ยังพบ Phytase ในข้าวสาลี ดังนั้นถ้าผสมข้าวสาลีในอาหาร
กระต่ายก็สามารถนำฟอสฟอรัสได้ทันทีไม่ต้องรอการย่อยจากแบคธีเรีย
สัดส่วนของแคลเซียม
และฟอสฟอรัสมีความสำคัญมากโดยสัดส่วนที่ดีที่สุดคือ แคลเซียม:ฟอสฟอรัส=2:1 การที่แคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มากหรือน้อยเกินไปจะส่งผลให้มีความผิดปกติต่อร่างกาย
แมกนีเซียมส่วนใหญ่จะสะสมอยู่ในกระดูกร้อยละ
70 ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยปฎิกิริยาต่างๆ
(Cofactor) การขาดแมกนีเซียมส่งผลให้ การเจริญเติบโตที่ช้า ขนร่วง ขนไม่มันเงางาม
และมีพฤติกรรมกินขนตัวเอง กระต่ายควรได้รับปริมาณแมกนีเซียมในช่วง 0.3-3
กรัมต่อกิโลกรัม โดยปกติมักให้ในขนาด 1.7 กรัมต่อกิโลกรัม
แมกนีเซียมที่เกินความจำเป็นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ
ฮอร์โมนพาราไทรอยด์
(PTH) จะสามารถทำงานได้ต้องประกอบไปด้วยแมกนีเซียมและความเป็นกรดด่างที่พอเหมาะ
(ดังรูปที่ 2) รูปซ้ายสุดหรือหมายเลขหนึ่ง
เมื่อระดับความเป็นกรดด่างพอเหมาะและมีแมกนีเซียมมากเพียงพอสามารถทำให้ PTH
สามารถทำงานได้ ในรูปกลางหรือหมายเลขสอง
มีความเป็นกรดด่างเปลี่ยนไปส่งผลให้ตัวรับ (Receptor) มีการเปลี่ยนรูปไปเนื่องจากตัวรับคือโปรตีนที่เปลี่ยนแปลงตามความเป็นกรดด่างจึงไม่สามารถทำงานได้
เนื่องจากการทำงานของฮอร์โมนใช้ทฤษฎี Lock and key (ทฤษฏีแม่กุญแจ
กับลูกกุญแจ)
คือต้องมีรูปร่างที่สามารถเข้ากันได้อย่างพอดีถึงจะทำให้มีกลไกทำงานต่อไปได้
เปรียบเสมือนแม่กุญแจ กับลูกกุญแจ รูปทางขวาหรือรูปที่3
มีปริมาณของแมกนีเซียมในเลือดน้อยกว่าปกติ เนื่องจาก Adenyl
cyclase complex (ตัวสีฟ้าด้านล่าง) ต้องการแมกนีเซียมมาเป็นตัวช่วย
(Coenzyme) ในการทำงานต่อไป
เมื่อแมกนีเซียมไม่เพียงพอก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้นั่นเอง
ปกติแมกนีเซียมสามารถพบในพืชอาหารสัตว์
แต่ในบางกรณีที่พืชดังกล่าวปลูกในดินที่มีแมกนีเซียมต่ำ
ส่งผลให้พืชในพื้นที่ดังกล่าวเก็บแมกนีเซียมไว้ในปริมาณน้อยกว่าปกติ
แล้วส่งผลให้สัตว์ที่กินพืชดังกล่าวได้รับแมกนีเซียมในระดับที่ไม่เพียงพอ
รูปที่ 2 แสดงการทำงานของฮอร์โมนพาราไทรอยด์
(PTH) ในสภาวะแตกต่างกัน
ในบทความต่อไปจะกล่าวถึงงานวิจัยว่ากระต่ายระดับแคลเซียมในระยะท้อง
ให้นมลูก และภาวะปกติ มีความแตกต่างอย่างไร
________________________________________________________________________________