นมทดแทนในกระต่าย
Mlik replacement for rabbits
หลังจากที่ผมได้รับงานจากอาจารย์ให้ศึกษาเกี่ยวกับ
น้ำนมของกระต่าย เนื่องจากคาดว่าการทดลองที่ให้พืชสมุนไพรในกระต่ายจะมีผลต่อ คุณภาพนม
และภูมิคุ้มกันในลูกกระต่าย ดังนั้นผมจึงคิดได้ถึงบทความที่ผมเคยเขียนไปในหัวข้อ “แม่กระต่ายไม่เลี้ยงลูก” จากบทความดังกล่าวการช่วยเหลือแบ่งออกเป็นสามอย่างคือ
ฝากเลี้ยง จับแม่ให้นม และให้นมสังเคราะห์ โดยสองวิธีการข้างต้นนั้นให้ผลที่น่าพอใจ
และมีอัตราการประสบความสำเร็จสูงมาก ส่วนการใช้นมสังเคราะห์ไม่ได้เขียนในรายละเอียดในบทความดังกล่าว
หลังจากที่ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจึงพยายามเขียนหลักการ และแนวทางการใช้นมทดแทนในกระต่าย
บทความนี้ได้เขียนขึ้นจากการรวบรวมบทความวิชาการ ประสบการณ์
สัมภาษณ์นักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยดังกล่าว
และความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผมหวังว่าผู้อ่านจะได้รับความรู้ไปไม่มากก็น้อย
ถ้ามีข้อซักถามหรือข้อเสนอแนะประการใดสามารถติดต่อมาได้ที่ attawitthai@gmail.com
สำหรับข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
น.สพ.อรรถวิทย์ โกวิทวที
(นิสิตปริญญาเอกสาขาการเพาะพันธุ์กระต่าย มหาวิทยาลัยตูริน ประเทศอิตาลี)
________________________________________________________________________________
ในกรณีที่แม่ไม่เลี้ยงลูก มีนม
แม่ทำร้ายลูก หรือมีแม่ตัวอื่นให้ฝากเลี้ยง
วิธีการให้นมสังเคราะห์แทบไม่มีความจำเป็นเลยเนื่องจากวิธีการดังกล่าวมีอัตราการรอดที่ต่ำ
เสียเวลาในการจัดการ และหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในกรณีที่แม่ไม่มีนม
หรือไม่มีแม่ฝากเลี้ยง
การให้นมทดแทนก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกกระต่ายรอดชีวิตได้ ผมจะอธิบายถึงหลักการควบคู่กับการเสนอแนะวิธีการช่วยเหลือ
และในตอนที่สามจะสรุปเนื้อหาทั้งหมดให้ โดยบทความจะแบ่งออกเป็นสามตอนดังรูปที่ 1
ครับ
1.
|
นมทดแทน
|
Milk
replacement
|
การคัดเลือกชนิดของนม
หรือนมสังเคราะห์ที่จะมาใช้ทดแทน ควรคัดเลือกให้ใกล้เคียงกับพฤติกรรม
และองค์ประกอบในธรรมชาติมากที่สุด ดังนั้นการศึกษาองค์ประกอบในธรรมชาติของน้ำนมกระต่ายจึงถือว่ามีความสำคัญเป็นเบื้องต้น
และใช้เป็นหลักการให้สามารถเลือกนมทดแทนที่ดีที่สุด
ทำให้อัตราการรอดของลูกกระต่ายมีมากขึ้น
นมน้ำเหลือง (Colostrum) เป็นนมมีความสำคัญเป็นอย่างมากในสัตว์แรกเกิดซึ่งแม่กระต่ายจะสามารถผลิตเพียง
1 วันหลังคลอดเท่านั้น นมน้ำเหลืองมีหน้าที่สำคัญในสองด้านคือ
ด้านคุณค่าทางโภชนะที่มีมากกว่านมธรรมดา และด้านการส่งผ่านภูมิคุ้มกันจากแม่ (Passive
immunity) มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อในขณะที่ลูกกระต่ายมีอายุน้อย
และไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันของตัวเองได้ (Active immunity)
ในมุมมองของผม ผมว่าปัญหาการขาดนมน้ำเหลืองในกระต่ายไม่ใช่เรื่องสำคัญมากเหมือนในสัตว์ชนิดอื่น
ในสถานะการปกติที่แม่และลูกกระต่ายอยู่ในกรงเดียวกัน หลังจากที่แม่กระต่ายให้กำเนิดลูก
ลูกจะดื่มนมแม่ทันที โดยปกติแล้วในวันคลอดเราไม่ได้นั่งคอย หรือดูทุกชั่วโมง
ทำให้เราไม่ทราบว่าลูกกระต่ายจะออกมาเวลาไหน กว่าเราจะทราบว่ากระต่ายออกลูก
ลูกกระต่ายก็ได้รับนมน้ำเหลืองเรียบร้อยแล้ว
สำหรับด้านคุณค่าทางอาหารของนมน้ำเหลืองมีองค์ประกอบใกล้เคียงกับนมปกติ
อย่างไรก็ตามนมน้ำเหลืองมีสารอาหารมากกว่านมปกติแต่ก็มากกว่าประมาณร้อยละ 5
เท่านั้น ทำให้ผมคิดว่าด้านคุณค่าทางอาหารจึงไม่มีความจำเป็นมาก สำหรับอีกด้านหนึ่งคือ
ด้านของภูมิคุ้มกันซึ่งผมก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกเช่นกัน
เนื่องจากสิ่งสำคัญในนมน้ำเหลืองคือ ภูมิคุ้มกันที่ส่งมาจากแม่
ดังที่ได้กล่าวในข้างต้น แต่รกของกระต่ายเป็นแบบเดียวกับของคน โดยมีลักษณะแบบเลือดอาบ
(Hemochorial type) ซึ่งความพิเศษของรกแบบนี้คือ
ลูกจะได้รับแอนติบอดี้ หรือภูมิคุ้มกันจากแม่ตั้งแต่ในท้อง ซึ่งต่างกับ โค สุกร
สุนัข และแมว ที่ไม่ได้ภูมิคุ้มกันตั้งแต่ในท้องแม่เนื่องจากรกมีลักษณะคนละประเภท
แต่ลูกสัตว์ในกลุ่มดังกล่าวจะได้รับภูมิคุ้มกันจากนมน้ำเหลืองเท่านั้น ดังนั้นนมน้ำเหลืองจึงมีความสำคัญในสัตว์กลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามการได้รับนมน้ำเหลืองย่อมดีกว่าไม่ได้รับอยู่แล้ว
ในภาพรวมขององค์ประกอบน้ำนมกระต่ายพบว่ามีความเข้มข้นของโปรตีน
ไขมัน และพลังงานที่สูงเมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่น มีอัตราส่วนของแลคโตสที่ต่ำ มีการศึกษาว่าระยะเวลาของช่วงการให้นมส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบของน้ำนมกระต่ายหรือไม่
การศึกษาพบว่าระยะเวลาส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบในน้ำนมน้อยมาก
ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของน้ำนมที่เราเลือกระหว่างระยะเวลาที่เปลี่ยนไป
สิ่งที่ต้องเปลี่ยนก็เป็นเรื่องของปริมาณการให้นม
ซึ่งจะกล่าวต่อไปในหัวข้อการจัดการ
องค์ประกอบของน้ำนมพื้นฐาน
(แสดงในตารางที่ 1)
จะพบว่าน้ำนมกระต่ายมีน้ำหนักแห้ง
(ถ้าค่าน้ำหนักแห้งมากแสดงว่ามีน้ำหรือของเหลวเจือปนน้อย) โปรตีนรวม ไขมันรวม
และพลังงานที่มีปริมาณมากเมื่อเทียบกับ โค สุกร แพะ กระบือ แมว และสุนัข
ส่วนน้ำตาลแลคโตสจะมีปริมาณที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่น จากการศึกษาในตารางที่
1 ผมพยายามเปรียบกับนมสัตว์ที่สามารถจะหาในตลาดได้
ทำให้เรามองเห็นว่าองค์ประกอบของนมกระต่ายนั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับนมแมวมากที่สุด
ถึงพลังงานจะน้อยกว่านมสุนัขในดัชนีอื่นถือว่ายอมรับได้
อย่างที่ได้กล่าวไปแลคโตสในนมกระต่ายมีปริมาณต่ำมากซึ่งพบว่าในนมแมวมีน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตามในบทสรุปผมจะเปรียบเทียบกับนมทดแทน (Milk replacer) ในสุนัข และแมวที่มีขายในตลาดครับ
องค์ประกอบพื้นฐานยังไม่เพียงพอต่อวิเคราะห์จึงจำเป็นต้องดูในรายละเอียดต่อไป
ตารางที่ 1
แสดงการเปรียบเทียบองค์ประกอบน้ำนมพื้นฐานในกระต่าย โค สุกร แพะ
กระบือ แมว และสุนัข
น้ำหนัก
|
หน่วย
|
กระต่าย
|
โค
|
สุกร
|
แพะ
|
กระบือ
|
แมว
|
สุนัข
|
น้ำหนักแห้ง (DM)
|
g/100g
|
29.8
|
13
|
17.9
|
12.2
|
18.9
|
25.4
|
20.7
|
โปรตีนรวม
(CP)
|
g/100g
|
12.3
|
3.5
|
5.1
|
3.1
|
4.5
|
11.1
|
9.5
|
ไขมันรวม
(EE)
|
g/100g
|
12.9
|
4.5
|
6.5
|
3.5
|
8
|
10.9
|
8.3
|
แลคโตส
(Lactose)
|
g/100g
|
1.7
|
4.75
|
5.7
|
4.1
|
5
|
3.4
|
3.7
|
พลังงาน
(Energy)
|
MJ/kg
|
8.4
|
3
|
4.5
|
2.5
|
4.6
|
4.1
|
5.4
|
ผมขอกล่าวถึงไขมันเป็นอันดับแรก
องค์ประกอบพื้นฐานของไขมันคือ กรดไขมัน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ไขมันมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป
ไขมันในน้ำนมถือว่าเป็นแหล่งพลังงานหลักของลูกกระต่าย
โดยกรดไขมันส่วนใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งเป็น กรดไขมันสายสั้น (Short
chain fatty acid) โดยมีองค์ประกอบหลักคือ Caprilic (C8:0)
และ Capric acid (C10:0) ร้อยละ 70 ในนมกระต่ายประกอบไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid:
SFA) ซึ่งตรงกันข้ามกับไขมันที่พบในเนื้อกระต่ายจะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบหลัก
(Unsaturated fatty acid) สำหรับกรดไขมันไม่อิ่มตัวในกระต่ายนั้นประกอบด้วย
Monounsaturated fatty acid (MUFA) และ Polyunsaturated
fatty acid (PUFA) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 13 และ
15 ตามลำดับ โดยปกติแล้วโอเมก้า 3 (ω-3)
จะส่งเสริมให้สัตว์มีสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตามปริมาณของโอเมก้า 3
ในน้ำนมแม่กระต่ายมีปริมาณต่ำมากโดยพบ C20:5,ω-3
(EPA)
และC22:6,ω-3
(DHA)
เพียงร้อยละ 0.04 และ 0.06 ตามลำดับเท่านั้น โดยลักษณะของกรดไขมันในกระต่ายนั้นมีความแตกต่างในสัตว์อื่นเป็นอย่างมาก
(ตารางที่ 2) เนื่องจากสารตั้งตั้นของการสร้างกรดไขมันคือ อะซิเตท
(Acetate) ซึ่งเป็นกรดไขมันระเหยสายสั้นที่สร้างจากแบคธีเรียในซีกั่มของกระต่าย
โดยในสัตว์ชนิดอื่นมีสารตั้งต้นที่แตกต่างกันไป
ตารางที่
2
แสดงการเปรียบเทียบกรดไขมันในน้ำนมกระต่าย โค สุกร แพะ กระบือ
และแมว
ร้อยละของกรดไขมัน
|
กระต่าย
|
โค
|
สุกร
|
แพะ
|
กระบือ
|
แมว
|
|
C4:0,
C5:0, C7:0
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
0.88
|
3.72
|
น้อยมาก
|
|
C6:0
|
0.4
|
1.5
|
น้อยมาก
|
5.35
|
2.08
|
น้อยมาก
|
|
C8:0
|
26.3
|
0.9
|
น้อยมาก
|
5.39
|
1.91
|
น้อยมาก
|
|
C10:0
|
20.1
|
2
|
0.4
|
14.43
|
1.45
|
0.04
|
|
C12:0
|
2.9
|
2.4
|
0.5
|
5.6
|
1.98
|
0.12
|
|
C14:0
|
1.6
|
14.3
|
5.6
|
11.15
|
11.35
|
1.77
|
|
C15:0
|
0.8
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
0.24
|
|
C16:0
|
12.8
|
24.4
|
29.4
|
22.19
|
32.15
|
23.24
|
|
C17:0
|
0.7
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
0.46
|
0.92
|
0.36
|
|
C18:0
|
2.9
|
11.9
|
6.3
|
9.07
|
12.4
|
5.94
|
|
C20:0,
C22:0
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
0.17
|
|
รวมไขมันอิ่มตัว
(SFA)
|
70.4
|
60
|
42.2
|
74.52
|
66.96
|
31.88
|
|
C14:1,
C17:1, C20:1
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
0.17
|
1.04
|
0.59
|
|
C16:1
|
1.5
|
1.7
|
13.7
|
0.69
|
1.53
|
5.47
|
|
C18:1
|
11.3
|
27.5
|
27.6
|
20.13
|
25.05
|
38.34
|
|
C20:1
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
0.2
|
น้อยมาก
|
น้อยมาก
|
0.13
|
|
รวม
MUFA
|
12.8
|
30.1
|
41.5
|
21.08
|
27.62
|
44.53
|
|
C18:2
|
12.8
|
1.6
|
13.3
|
1.75
|
1.65
|
20.56
|
|
C18:3
|
2.5
|
0.71
|
1.4
|
1.3
|
0.69
|
1.21
|
|
C20:4
|
0.5
|
0.04
|
0.09
|
น้อยมาก
|
0.09
|
0.81
|
|
CLA
|
0.08
|
1.26
|
น้อยมาก
|
0.18
|
0.8
|
22.58
|
|
EPA
(C20:5 omega-3)
|
0.04
|
0.01
|
0.16
|
0.13
|
0.09
|
0.17
|
|
DHA
(C22:6 omega-3)
|
0.06
|
0.04
|
0.2
|
น้อยมาก
|
0.06
|
0.35
|
|
รวม
PUFA
|
15.6
|
3.6
|
16.3
|
4.39
|
2.77
|
0.52
|
ในส่วนต่อไปผมจะพูดถึง
โปรตีน โดยส่วนย่อยของโปรตีนก็คือ กรดอะมิโน (Amino acid) นมกระต่ายมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูงซึ่งเสริมสร้างเนื้อเยื่อเพื่อการเจริญเติบโต
(ตารางที่ 3) โปรตีนในนมสามารถสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ
caseins (มีส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70) และ whey protein น้ำนมกระต่ายมี casein หลายชนิดโดยมีหลักๆอยู่ 5 ชนิด คือ αs1-casein, αs2-casein, α-casein, β-casein และ κ-casein โดย
αs1-casein
และ β-casein มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคธีเรียซึ่งป้องกันการติดเชื้อในลูกกระต่าย
สำหรับ whey
protein มีองค์ประกอบดังนี้ α-lactalbumin,
tranferrin, serum albumin, whey acidic protein (WAP) และ
immunoglobulins
ตารางที่
3
แสดงการเปรียบเทียบกรดอะมิโนในน้ำนมกระต่าย โค สุกร แพะ และกระบือ
ร้อยละของกรดอะมิโน
|
กระต่าย
|
โค
|
สุกร
|
แพะ
|
กระบือ
|
Lysine
|
8.5
|
1
|
7.5
|
0.29
|
7.32
|
Methionine
|
2.2
|
9
|
1.7
|
0.08
|
4
|
Cysteine
|
น้อยมาก
|
8
|
1.5
|
0.05
|
0.7
|
Histidine
|
3.8
|
2
|
2.4
|
0.09
|
2.46
|
Phenylalanine
|
4.1
|
1
|
3.9
|
0.16
|
4.32
|
Tyrosine
|
4.4
|
9
|
4.2
|
0.18
|
3.96
|
Threonine
|
5.7
|
3
|
3.9
|
0.16
|
4.16
|
Isoleucine
|
3.9
|
11
|
3.8
|
0.21
|
4.9
|
Leucine
|
10.4
|
6
|
8.8
|
0.31
|
8.54
|
Valine
|
6.95
|
6
|
4.7
|
0.24
|
5.78
|
Thyptophan
|
2.15
|
น้อยมาก
|
1.4
|
0.04
|
น้อยมาก
|
Arginine
|
5.6
|
4
|
5.2
|
0.12
|
2.6
|
Proline
|
3.1
|
8.4
|
11.3
|
0.37
|
10.2
|
Glycine
|
2.6
|
5.1
|
2.8
|
0.05
|
1.74
|
Glutamic
acid
|
18.85
|
6.5
|
21.6
|
0.63
|
22.3
|
Aspartic
acid
|
6.05
|
3.5
|
7.9
|
0.21
|
7.14
|
Serine
|
5.85
|
3.3
|
5.2
|
0.18
|
5.4
|
Alanine
|
6.7
|
5
|
3.2
|
0.12
|
2.9
|
สำหรับแร่ธาตุในนมนั้น
ได้รับผลกระทบจากระยะการให้นมที่แตกต่างกัน
ในภาพรวมแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นทำให้พบว่า
นมกระต่ายมีความเข้มข้นของ แคลเซียม โซเดียม และโพแตสเซียม มากกว่าสัตว์ชนิดอื่น (ตารางที่ 4) แลคโตส
และโซเดียมในน้ำนมมีผลกระทบต่อแรงดันออสโมซิส (Osmotic pressure) แต่ในนมกระต่ายมีแลคโตสมีองค์ประกอบน้อยดังนั้นเพื่อรักษาให้แรงดันออสโมซิสอยู่ในระดับที่พอเหมาะจึงมีระดับโซเดียมที่สูง
เมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นก็พบว่านมกระต่ายมีโซเดียมเป็นองค์ประกอบสูงมาก ในส่วนของวิตามินพบว่ามีใกล้เคียงกับสัตว์ชนิดอื่น
แต่วิตามินเอมีความสำคัญมาก และพบในปริมาณมากในนมน้ำเหลือง
เนื่องจากลูกกระต่ายต้องใช้วิตามินเอในการพัฒนาอวัยวะที่เกี่ยวกับการมองเห็น
ตารางที่
4
แสดงการเปรียบเทียบแร่ธาตุในน้ำนมกระต่าย โค และสุกร
แร่ธาตุ
|
กระต่าย
|
โค
|
สุกร
|
โซเดียม
|
0.96
|
0.45
|
0.5
|
โพแทสเซียม
|
1.86
|
1.5
|
0.84
|
แคลเซียม
|
4.61
|
1.2
|
2.2
|
แมกนีเซียม
|
0.27
|
0.12
|
-
|
ฟอสฟอรัส
|
2.78
|
1.9
|
1.6
|
คลอไรด์
|
0.66
|
1.1
|
-
|
สุดท้ายองค์ประกอบที่สำคัญในน้ำนมอีกอย่างหนึ่งคือ
Milk oil ซึ่งคือ กรดไขมันสายสั้น (C8:0 และ C10:0) ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายแบคธีเรียซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่าในน้ำนมกระต่ายมีกรดไขมันชนิดนี้ในปริมาณมาก
มากไปกว่านั้นในน้ำนมกระต่ายมี αs1-casein และ β-casein
ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคธีเรียเช่นกัน ดังนั้นในช่วงที่ลูกกระต่ายดื่มนมจากการวิจัยพบว่า
ในระบบทางเดินอาหารของกระต่ายจะอยู่ในภาวะปลอดเชื้อ
หลังจากระยะเวลาผ่านไปแม่กระต่ายจะผลิตน้ำนมลดลง
ดังนั้นปริมาณของน้ำนมที่ลูกกระต่ายได้รับก็น้อยลงด้วย
ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของการฆ่าเชื้อก็ลดลง
และเป็นการให้โอกาสที่จะให้จุลชีพที่ดีได้เข้าไปในระบบทางเดินอาหาร
ในขณะเดียวกันลูกกระต่ายก็เริ่มกินอาหารเม็ด ทำให้การได้รับอาหารที่เหมาะสมก็จะส่งเสริมให้เชื้อที่เหมาะสมเจริญเติบโตในอัตราที่พอเหมาะ
ก็จะทำให้กระต่ายจุลชีพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตต่อไป
อย่างไรก็ตามช่องว่างตรงนี้ถ้าเชื้อที่เข้ามาเป็นเชื้อก่อโรคกระต่ายก็จะป่วยและเสียชีวิตได้
โดยรายละเอียดเรื่องจุลชีพผมจะกล่าวต่อไปในหัวข้อการจัดการครับ
จากข้อมูลในข้างต้นผู้อ่านคงรู้สึกว่าไม่มีนมสัตว์ชนิดไหนแทนสัตว์ชนิดไหนได้
เนื่องจากสัตว์แต่ชนิดมีความจำเพาะในด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านอาหาร พฤติกรรม
การย่อยอาหาร เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้องค์ประกอบของน้ำนมมีความแตกต่างกัน
โดยข้อเสนอแนะผมจะนำเสนอในตอนสุดท้ายของบทความนี้ครับ
2.
|
การจัดการ
|
Management
techniques
|
ปริมาณ ระยะเวลาการให้นม และอาหาร สำหรับเรื่องแรกผมขอกล่าวถึงปริมาณการให้ก่อนครับ
ในส่วนของปริมาณการให้นมเพื่อง่ายต่อความเข้าใจผมขอแสดงรูปที่ 2
ให้ดูนะครับ โดยการคำนวณผมประมาณให้ดังตารางด้านข้างรูปที่ 2
ส่วนระยะเวลาการให้ผมแนะนำให้สองครั้งเวลาเช้าและเย็น
ตามธรรมชาติแล้วกระต่ายจะให้นมลูกเพียงวันละครั้ง หรือสองครั้ง
โดยให้ครั้งละประมาณ 3-5 นาทีเท่านั้น
โดยเราจะเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าว โดยการป้อนนมนั้นปกติแล้วจะใช้กระบอกฉีดยาป้อนนมให้ลูกกระต่าย
โดยการให้ต้องค่อยๆให้ลูกกระต่ายให้ลูกกระต่ายดื่มเอง
ไม่ใช้ฉีดเข้าไปในปากเหมือนการให้ยา เนื่องจากปริมาณการให้นมดังที่ได้แนะนำในรูปที่
2 เป็นการประมาณการเท่านั้น
อีกทั้งเป็นการคำนวณมากจากกระต่ายเนื้อซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่ากระต่ายเลี้ยง
ดังนั้นควรสังเกตที่ลูกกระต่ายแต่ละตัวเป็นหลัก และสามารถดู milk line เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย เนื่องจากอัตราที่ผมเอามาให้เป็นของกระต่ายเนื้อซึ่งน้ำหนักตัวแรกเกิดค่อนข้างมากกว่ากระต่ายไทย
อีกอย่างถ้าลูกกระต่ายไม่กินเองแล้วก็ให้เปลี่ยนไปให้ตัวอื่นแล้วค่อยวนกลับมาอีกทีก็ได้
แต่ถ้าพบเห็น milk line แล้วท้องบวมผมว่าก็พอแล้วครับ
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าเราต้องป้องกันแบคธีเรียก่อโรคเข้าไปปนเปื้อนในระบบทางเดินอาหาร
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้นมลูกกระต่ายควรรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี
โดยสามารถน้ำไปลวกน้ำร้อนก่อนและหลังใช้ ตากแดด และเก็บในที่แห้ง
ส่วนอาหารให้เราวางไว้ครับ โดยให้น้อยๆก่อนโดยให้กระต่ายกินเองโดยดูจากรูปที่ 2
โดยปกติผมนำอาหารและน้ำสะอาดเข้าช่วงอายุ 18 วัน
โดยสามารถเสริมหญ้าแห้ง
หรือหญ้าที่ล้างแล้วได้เนื่องจากแบคธีเรียที่ย่อยพืชอยู่ในระดับที่มากเพียงพอแล้วในช่วงอายุ
14-21 วัน
ซึ่งผมจะกล่าวต่อไปในเรื่องของจุลชีพในระบบทางเดินอาหารของกระต่ายครับ
โดยตามความจริงแล้วลูกกระต่ายสามารถหย่านมได้ตั้งแต่ 28 วัน
แต่ที่ผมแนะนำคือประมาณ 35 วันเนื่องจากส่งผลให้ลูกกระต่ายมีโอกาสรอดตายมาที่สุดครับ
การดูแลลูกกระต่าย การดูแลลูกกระต่ายผมของแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
สิ่งแวดล้อมรอบตัวลูกกระต่าย และเรื่องของการขับถ่ายครับ
เรื่องสิ่งแวดล้อมประกอบด้วยสองเรื่องคือ เรื่องของความสะอาด และความอบอุ่น
เรื่องความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญมากเนื่องจากอย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น
กระต่ายจะมีช่วงเสี่ยงต่อการติดเชื้ออยู่ในช่วง 18 วันหลังคลอดเนื่องจากต้องรับเชื้อที่ดีจากแม่เข้าไปเพื่อจะได้มีความสามารถย่อยอาหารเยื่อใยได้
ดังนั้นความสะอาดของสถานที่ และอุปกรณ์ที่ใช้ย่อมต้องมีความสะอาดที่ดี อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีแม่กระต่ายจะดึงขนตัวเองมาให้ลูกเพื่อให้ลูกพันตัวเพื่อให้มีความอบอุ่น
ดังนั้นเราสามารถดึงขนของแม่มาให้ลูกก็ได้
ถ้าไม่มีแม่ก็ใช้สำลีแห้งสะอาดมาฉีกเป็นฝอยๆแล้วให้ลูกได้เช่นกัน
โดยเราสามารถเปลี่ยนสำลีหรือขนแม่ได้ตามสมควรเนื่องจากลูกกระต่ายจะขับถ่ายอาจทำให้ที่เลี้ยงไม่สะอาด
ส่วนเรื่องการขับถ่ายเนื่องจากในธรรมชาติแม่กระต่ายจะพลิกตัวลูก และการเคลื่อนไหวของลูกจะทำให้เกิดการขับถ่ายออกมา
ในกรณีที่แยกเลี้ยงเราสามารถช่วยโดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่นมาเช็ดเบาๆที่รูทวาร
รวมทั้งการพลักตัวลูกไปมาก็จะสามารถพบอุจจาระเป็นเม็ดสีดำกลมขนาดเท่าหัวเข็มหมุดออกมาครับ
จุลชีพในกระต่าย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดมาก
และมีความสำคัญต่อการย่อยอาหาร และสุขภาพกระต่าย
รวมทั้งเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้กระต่ายกลับมาปกติหลังจากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
ซึ่งผมหวังว่าจะได้เขียนในรายละเอียดในบทความต่อไป ส่วนในบทความนี้ผมจะกล่าวเพื่อช่วยเหลือลูกกระต่ายครับ
เนื่องจากปกติแล้วลูกกระต่ายจะกินอุจจาระกลางคืน (Soft feces) ของแม่เพื่อสร้างจุลชีพที่เหมาะสมออกมา ดังนั้นเมื่อเราไม่มีแม่
เราก็ต้องหาอุจจาระดังกล่าวมาจากแม่กระต่ายตัวอื่น ซึ่งเราสามารถขอจากคนรู้จัก
โรงพยาบาล แต่ต้องแน่ใจว่ากระต่ายที่ให้ต้องเป็นกระต่ายที่แข็งแรงไม่ป่วย
โดยให้นำอุจจาระดังกล่าวมาผสมกับนมให้ไม่ข้นมากเกินไป แล้วป้อนให้ลูกกระต่าย โดยให้ประมาณ
1-2 เม็ดเล็กของอุจจาระกลางคืนผสมกับนมที่จะให้
โดยเริ่มป้อนให้วันที่ 10 หลังคลอดไปเรื่อยๆจนถึงประมาณวันที่
20 หลังคลอด
โดยสังเกตว่ากระต่ายสามารถกินอาหารเม็ดได้หรือไม่ และไม่มีปัญหาเรื่องท้องเสีย โดยการให้จะมีประโยชน์น้อยลงเมื่อกระต่ายอายุ
1 เดือนขึ้นไป
เนื่องจากระดับความเป็นกรดจะมากขึ้นเมื่อกระต่ายอายุมากกว่า 1 เดือน ทำให้จุลชีพสามารถผ่านไปได้น้อยลง ดังที่ได้เคยกล่าวไปในบทความ “แม่กระต่ายไม่เลี้ยงลูก”
3.
|
บทสรุป และข้อเสนอแนะ
|
Conclusions
and suggestions
|
อยากข้อมูลที่ได้กล่าวไปคงเข้าใจแล้วว่าไม่มีน้ำสัตว์ชนิดไหนมาทดแทนกันได้
100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราอยู่ในภาวะที่จำเป็นจริงๆแล้วผมแนะนำให้ใช้
นมทดแทนของแมว ที่สามารถซื้อได้ตามร้านค้า เนื่องจากคุณค่าทางโภชนาการหลักมีความใกล้เคียงมากที่สุด
และมีปริมาณแลคโตสที่ต่ำที่สุด ซึ่งเป็นสาเหตุของการท้องเสียในกระต่ายเด็ก
โดยการคำนวณปริมาณให้ดูตามท้องที่ขยายออก ให้วันละสองครั้ง
อีกอย่างผมอยากเสริมนมแพะเล็กน้อย ประมาณ 20% ของนมแมวที่กินต่อวัน
โดยการให้ก็ผสมกับนมแมวไปเลย เนื่องจากในนมแพะมีกรดไขมันที่สามารถป้องกันจุลชีพ
และมีความสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาระบบทางเดินอาหาร ดูแลความสะอาด ความอบอุ่น
กระตุ้นการขับถ่ายในแต่ละวัน วางอาหารเม็ด
และน้ำในภาชนะที่ลูกกระต่ายสามารถเข้าถึงได้ในวันที่ 18 หลังคลอด
เสริมอุจจาระกลางคืนให้ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 20 วันหลังคลอด และสุดท้ายสังเกตว่าลูกกระต่ายมีอาการท้องเสียหรือไม่
และสามารถทานอาหารเม็ดได้หรือไม่ ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีเราสามารถอย่านม
หรือเลิกให้นม ในช่วงตั้งแต่ 28-35 วัน หลังคลอด
โดยดูจากความสามารถในการกินอาหารเม็ดนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น